

![]() |
วุฒิวิศวกรไฟฟ้า วุฒิวิศวกรเครื่องกล ระบบไฟฟ้า ระบบเครื่องกล ระบบปรับอากาศ ตรวจสอบรับรองการก่อสร้างอาคาร ปรับปรุงรักษาสภาพอากาศ น้ำ เสียง กลิ่ง สิ่งแวดล้อม ดัดแปลงอาคาร
สำหรับปริญญาตรีและปริญญาโทวิศวกรรมไฟฟ้าและสื่อสาร วิชาเด่นๆ ที่ต้องเรียนมีดังนี้:
1. คณิตศาสตร์วิศวกรรม: ศึกษาแคลคูลัส สมการเชิงอนุพันธ์ เวกเตอร์ และการวิเคราะห์เชิงซ้อน เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการวิเคราะห์และออกแบบระบบไฟฟ้าและสื่อสาร
2. วิเคราะห์วงจรไฟฟ้า: ศึกษาการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้ากระแสตรงและกระแสสลับ เรียนรู้กฎของโอห์ม กฎของเคอร์ชอฟฟ์ และการวิเคราะห์วงจรด้วยวิธีต่างๆ
3. อิเล็กทรอนิกส์วิศวกรรม: ศึกษาคุณสมบัติและการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เรียนรู้การวิเคราะห์และออกแบบวงจรขยาย วงจรกรอง และวงจรดิจิทัล
4. สัญญาณและระบบ: ศึกษาสัญญาณต่อเนื่องและไม่ต่อเนื่อง ระบบเชิงเส้นและไม่เชิงเส้น เรียนรู้การวิเคราะห์สัญญาณและระบบในโดเมนเวลาและโดเมนความถี่
5. การสื่อสารข้อมูลและเครือข่าย: ศึกษาการสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เรียนรู้สถาปัตยกรรมเครือข่าย โปรโตคอล การหาเส้นทาง และความปลอดภัยของข้อมูล
6. ทฤษฎีสนามแม่เหล็กไฟฟ้า: ศึกษาสนามไฟฟ้าสถิต สนามแม่เหล็กสถิต และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เรียนรู้สมการของแมกซ์เวลล์ และการประยุกต์ใช้ในการส่งสัญญาณไร้สาย
7. การประมวลผลสัญญาณดิจิทัล: ศึกษาการแปลงสัญญาณต่อเนื่องเป็นสัญญาณดิจิทัล เรียนรู้การกรอง การแปลงฟูเรียร์ และการประยุกต์ใช้ในระบบสื่อสาร
8. การสื่อสารดิจิทัล: ศึกษาการส่งสัญญาณดิจิทัลผ่านช่องสัญญาณต่างๆ เรียนรู้การมอดูเลต การตรวจจับสัญญาณ การแก้ไขความผิดพลาด และการเข้ารหัสช่องสัญญาณ
9. วิศวกรรมไมโครเวฟ: ศึกษาการแพร่กระจายคลื่นความถี่สูงย่านไมโครเวฟและการประยุกต์ใช้งาน เรียนรู้การออกแบบวงจรไมโครเวฟ สายส่ง และสายอากาศ
10. ระบบควบคุมอัตโนมัติ: ศึกษาการวิเคราะห์และออกแบบระบบควบคุมป้อนกลับอัตโนมัติ เรียนรู้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เสถียรภาพ และการชดเชยระบบควบคุม
11. การออกแบบระบบดิจิทัล: ศึกษาการออกแบบวงจรดิจิทัลและระบบดิจิทัล เรียนรู้พีชคณิตบูลีน การออกแบบวงจรรวม และภาษาอธิบายฮาร์ดแวร์
12. โครงข่ายโทรคมนาคม: ศึกษาโครงข่ายโทรศัพท์และการสื่อสารข้อมูลแบบสลับวงจร เรียนรู้การหาเส้นทางการสื่อสาร การจัดการทราฟฟิก และคุณภาพการให้บริการ
13. หลักการระบบสื่อสาร: ศึกษาองค์ประกอบพื้นฐานของระบบสื่อสาร สัญญาณและสเปกตรัม เรียนรู้การมอดูเลตสัญญาณ การส่งสัญญาณผ่านช่องสัญญาณ และการประยุกต์ใช้งาน
14. วิศวกรรมสายอากาศ: ศึกษาหลักการและการออกแบบสายอากาศชนิดต่างๆ เรียนรู้แบบรูปการแผ่กระจายคลื่น อัตราขยาย และการแมตช์อิมพีแดนซ์
15. ปัญญาประดิษฐ์ในงานวิศวกรรม: ศึกษาการประยุกต์ใช้ AI และการเรียนรู้ของเครื่องในงานวิศวกรรมไฟฟ้า เรียนรู้อัลกอริทึมการเรียนรู้ เช่น โครงข่ายประสาทเทียม ซัพพอร์ตเวกเตอร์แมชชีน และดีพเลิร์นนิง
16. การประมวลผลภาพดิจิทัล: ศึกษาเทคนิคการประมวลผลและวิเคราะห์ภาพดิจิทัล เรียนรู้การปรับปรุงคุณภาพภาพ การแยกวัตถุ การรู้จำภาพ และการประยุกต์ใช้งาน
17. การสื่อสารมัลติมีเดีย: ศึกษาการรับส่งข้อมูลเสียง ภาพ และวิดีโอแบบประสานเวลา เรียนรู้การบีบอัดสัญญาณ การเข้ารหัสแหล่งกำเนิด และการส่งสัญญาณแบบเรียลไทม์
18. การออกแบบวงจรรวมขนาดใหญ่มาก (VLSI): ศึกษาการออกแบบวงจรรวมความหนาแน่นสูง เรียนรู้การใช้เครื่องมือช่วยออกแบบ (EDA) การวางแผนผังวงจร และการจำลองการทำงาน
19. วิศวกรรมไฟฟ้ากำลัง: ศึกษาการผลิต ส่งจ่าย และจำหน่ายกำลังไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ เรียนรู้การทำงานของเครื่องกำเนิดไฟฟ้า หม้อแปลง สวิตช์เกียร์ และระบบป้องกัน
20. โครงงานวิศวกรรมไฟฟ้าและสื่อสาร: นักศึกษานำความรู้มาประยุกต์ใช้ในการทำโครงงานวิจัยหรือพัฒนา บูรณาการความรู้ด้านไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ สื่อสาร และสารสนเทศ เพื่อแก้ปัญหาจริง สำหรับปริญญาตรีและปริญญาโทวิศวกรรมเครื่องกล วิชาเด่นๆ ที่ต้องเรียนมีดังนี้:
1. กลศาสตร์วิศวกรรม: ศึกษาหลักการของแรง โมเมนต์ และการเคลื่อนที่ของวัตถุ ประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาทางวิศวกรรมเครื่องกล
2. ความแข็งแรงของวัสดุ: ศึกษาแรงและความเค้นที่กระทำต่อโครงสร้างและชิ้นส่วนเครื่องจักรกล เรียนรู้การวิเคราะห์การเสียรูปและการวิบัติของวัสดุภายใต้ภาระกรรมต่างๆ
3. อุณหพลศาสตร์: ศึกษากฎข้อที่หนึ่งและข้อที่สองของอุณหพลศาสตร์ วัฏจักรกำลังและวัฏจักรทำความเย็น ประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และออกแบบระบบที่เกี่ยวข้องกับพลังงานความร้อน
4. กลศาสตร์ของไหล: ศึกษาหลักการของสถิตยศาสตร์และพลศาสตร์ของของไหล สมการของการไหลแบบต่างๆ ประยุกต์ใช้ในการออกแบบระบบท่อ เครื่องสูบน้ำ และกังหันของไหล
5. การถ่ายเทความร้อน: ศึกษากลไกการถ่ายเทความร้อนแบบการนำ การพา และการแผ่รังสี ประยุกต์ใช้ในการออกแบบอุปกรณ์แลกเปลี่ยนความร้อนและระบบปรับอากาศ
6. การออกแบบเครื่องจักรกล: ศึกษาหลักการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล เช่น เพลา สปริง เฟือง และสกรู เรียนรู้การเลือกวัสดุ การคำนวณความแข็งแรง และการวิเคราะห์อายุการใช้งาน
7. การสั่นสะเทือนเชิงกล: ศึกษาการสั่นสะเทือนแบบอิสระ แบบบังคับ และแบบหน่วง ประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และการควบคุมการสั่นสะเทือนของเครื่องจักรและโครงสร้าง
8. การควบคุมอัตโนมัติ: ศึกษาทฤษฎีและเทคนิคการควบคุมระบบพลวัตอัตโนมัติ เรียนรู้การวิเคราะห์เสถียรภาพ การออกแบบตัวควบคุม และการจำลองระบบควบคุม
9. กรรมวิธีการผลิต: ศึกษากระบวนการผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรกลด้วยเทคนิคต่างๆ เช่น การหล่อ การกลึง การกัด เรียนรู้การวางแผนและควบคุมการผลิตให้มีประสิทธิภาพ
10. การวัดและเครื่องมือวัด: ศึกษาหลักการทำงานของเครื่องมือวัดทางกล เช่น เครื่องวัดความดัน เครื่องวัดอัตราการไหล เรียนรู้การสอบเทียบและการประยุกต์ใช้เครื่องมือวัดในงานวิศวกรรม
11. พลศาสตร์และการควบคุมหุ่นยนต์: ศึกษาจลนศาสตร์ พลศาสตร์ และการควบคุมการเคลื่อนที่ของหุ่นยนต์ เรียนรู้การออกแบบกลไกหุ่นยนต์ การวางแผนเส้นทาง และการเขียนโปรแกรมควบคุม
12. เทอร์โมไดนามิกส์ของวัสดุ: ศึกษาหลักการทางอุณหพลศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวัสดุวิศวกรรม เรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างจุลภาค สมบัติ และกระบวนการทางความร้อนของวัสดุ
13. การทำความเย็นและการปรับอากาศ: ศึกษาหลักการทำความเย็น ส่วนประกอบของระบบทำความเย็น และการออกแบบระบบปรับอากาศ เรียนรู้การคำนวณภาระความเย็น การเลือกอุปกรณ์ และการประเมินสมรรถนะพลังงาน
14. เครื่องจักรกลของไหล: ศึกษาหลักการทำงานและส่วนประกอบของเครื่องจักรกลของไหล เช่น เครื่องสูบ เครื่องอัด กังหัน เรียนรู้การออกแบบและเลือกใช้เครื่องจักรให้เหมาะสมกับระบบของไหล
15. การจำลองทางวิศวกรรม: ศึกษาเทคนิคการสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์เพื่อวิเคราะห์ปัญหาทางวิศวกรรม เรียนรู้การใช้ซอฟต์แวร์ CAE เช่น MATLAB, ANSYS ในการจำลองและวิเคราะห์ผล
16. วิศวกรรมยานยนต์: ศึกษาเทคโนโลยีและองค์ประกอบต่างๆ ของยานยนต์ เช่น เครื่องยนต์ ระบบส่งกำลัง ระบบรองรับน้ำหนัก เรียนรู้การออกแบบ วิเคราะห์ และทดสอบสมรรถนะของยานยนต์
17. การออกแบบและผลิตโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วย (CAD/CAM): ศึกษาการใช้ซอฟต์แวร์ CAD ในการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล เรียนรู้การนำแบบ CAD ไปผลิตด้วยเครื่องจักรซีเอ็นซี และการวางแผนกระบวนการผลิต
18. เมคาทรอนิกส์: ศึกษาการบูรณาการองค์ความรู้ทางเครื่องกล ไฟฟ้า และคอมพิวเตอร์ เพื่อพัฒนาระบบอัตโนมัติ เรียนรู้การออกแบบและควบคุมระบบเมคาทรอนิกส์ในงานอุตสาหกรรม
19. ระเบียบวิธีไฟไนต์เอลิเมนต์: ศึกษาการประยุกต์ใช้ระเบียบวิธีไฟไนต์เอลิเมนต์ในการวิเคราะห์ปัญหาทางวิศวกรรม เรียนรู้การแบ่งโดเมนปัญหา การสร้างสมการโหนด และการใช้ซอฟต์แวร์ไฟไนต์เอลิเมนต์
20. โครงงานวิศวกรรมเครื่องกล: นักศึกษานำความรู้จากวิชาต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในการทำโครงงานวิจัยหรือโครงงานออกแบบ
บูรณาการองค์ความรู้ด้านเครื่องกล ความร้อน ของไหล และระบบควบคุม เพื่อแก้ปัญหาในงานวิศวกรรม
สำหรับปริญญาตรีและปริญญาโทวิศวกรรมเมคาทรอนิกส์ วิชาเด่นๆ ที่ต้องเรียนมีดังนี้:
1. คณิตศาสตร์วิศวกรรม: ศึกษาแคลคูลัส สมการเชิงอนุพันธ์ เวกเตอร์ และเมทริกซ์ เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการวิเคราะห์และแก้ปัญหาในงานเมคาทรอนิกส์
2. ฟิสิกส์วิศวกรรม: ศึกษาหลักการของกลศาสตร์ ไฟฟ้า และความร้อน ประยุกต์ใช้กฎทางฟิสิกส์ในการวิเคราะห์ระบบเมคาทรอนิกส์
3. การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์: ศึกษาภาษาโปรแกรมที่ใช้ในงานเมคาทรอนิกส์ เช่น C, C++, Python เรียนรู้การเขียนโปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวร์และประมวลผลข้อมูล
4. วงจรไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์: ศึกษาการวิเคราะห์วงจรไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และการออกแบบวงจร เป็นพื้นฐานสำหรับการทำงานร่วมกับระบบไฟฟ้าในเมคาทรอนิกส์
5. เซ็นเซอร์และทรานสดิวเซอร์: ศึกษาหลักการทำงานและการใช้งานของเซ็นเซอร์และทรานสดิวเซอร์ชนิดต่างๆ เรียนรู้การวัดและการแปลงสัญญาณทางกายภาพเป็นสัญญาณไฟฟ้า
6. ไมโครคอนโทรลเลอร์และการเชื่อมต่อ: ศึกษาสถาปัตยกรรมและการโปรแกรมไมโครคอนโทรลเลอร์ เรียนรู้การเชื่อมต่อไมโครคอนโทรลเลอร์กับอุปกรณ์ภายนอก เช่น เซ็นเซอร์ มอเตอร์
7. ระบบควบคุมอัตโนมัติ: ศึกษาทฤษฎีและเทคนิคการควบคุมระบบพลวัตอัตโนมัติ เรียนรู้การออกแบบตัวควบคุม PID, ฟัซซี่ลอจิก และการควบคุมแบบป้อนกลับ
8. หุ่นยนต์เบื้องต้น: ศึกษาโครงสร้างและการทำงานของหุ่นยนต์อุตสาหกรรมและหุ่นยนต์เคลื่อนที่ เรียนรู้จลนศาสตร์ พลศาสตร์ และการควบคุมการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์
9. คอมพิวเตอร์วิทัศน์: ศึกษาหลักการประมวลผลภาพและการมองเห็นของคอมพิวเตอร์ เรียนรู้อัลกอริทึมในการวิเคราะห์และแปลความหมายภาพสำหรับงานเมคาทรอนิกส์
10. การออกแบบและผลิตด้วยคอมพิวเตอร์ (CAD/CAM): ศึกษาการใช้ซอฟต์แวร์ CAD ในการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักร เรียนรู้การสร้างโปรแกรม CAM สำหรับควบคุมเครื่องจักร CNC ในการผลิต
11. ระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม: ศึกษาเทคโนโลยีออโตเมชันในอุตสาหกรรม เช่น PLC, SCADA, DCS เรียนรู้การออกแบบและการประยุกต์ใช้ระบบอัตโนมัติในสายการผลิต
12. การออกแบบเครื่องจักรกล: ศึกษาหลักการออกแบบชิ้นส่วนเครื่องจักรกล เช่น เพลา สปริง เฟือง เรียนรู้การเลือกใช้วัสดุและกระบวนการผลิตที่เหมาะสม
13. ระบบป้อนกลับและเซอร์โว: ศึกษาหลักการของระบบควบคุมป้อนกลับและเซอร์โวมอเตอร์ เรียนรู้การออกแบบและปรับแต่งระบบเซอร์โวสำหรับควบคุมตำแหน่งและความเร็ว
14. การสั่นสะเทือนและการควบคุม: ศึกษาทฤษฎีของการสั่นสะเทือนทางกล และเทคนิคการควบคุมการสั่นสะเทือน ประยุกต์ใช้ในการลดการสั่นสะเทือนของเครื่องจักรและอุปกรณ์
15. ระบบสมองกลฝังตัว: ศึกษาการออกแบบและพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่ฝังตัวในอุปกรณ์ เรียนรู้การเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์และการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับระบบสมองกลฝังตัว
16. หุ่นยนต์อัตโนมัติ: ศึกษาการออกแบบและพัฒนาหุ่นยนต์อัตโนมัติสำหรับงานอุตสาหกรรม เรียนรู้การวางแผนภารกิจ การเขียนโปรแกรมควบคุม และการประยุกต์ใช้หุ่นยนต์
17. ระบบอัจฉริยะและปัญญาประดิษฐ์: ศึกษาเทคนิคปัญญาประดิษฐ์ เช่น ตรรกศาสตร์คลุมเครือ โครงข่ายประสาทเทียม ประยุกต์ใช้ AI ในการพัฒนาระบบอัจฉริยะสำหรับงานเมคาทรอนิกส์
18. อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT): ศึกษาแนวคิดและเทคโนโลยีของ IoT สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์ผ่านอินเทอร์เน็ต เรียนรู้การออกแบบและพัฒนาแอปพลิเคชันบน IoT สำหรับงานเมคาทรอนิกส์
19. หัวข้อพิเศษทางวิศวกรรมเมคาทรอนิกส์: ศึกษาหัวข้อและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่น่าสนใจในสาขาเมคาทรอนิกส์ เรียนรู้การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อแก้ปัญหาในงานวิศวกรรม
20. โครงงานวิศวกรรมเมคาทรอนิกส์: บูรณาการความรู้จากวิชาต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในการทำโครงงาน
ฝึกทักษะการออกแบบ พัฒนา และแก้ปัญหาระบบเมคาทรอนิกส์จริง
ระบบป้องกันเพลิงไหม้
บริการ ตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน สำหรับโรงงานควบคุม และอาคารควบคุม
แก้ไขปัญหาวิศวกรรม โดย วุฒิวิศวกร ทุกระบบ
บริษัท 4 ดับบลิว ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ทีมงาน วุฒิวิศวกร ไฟฟ้า วุฒิวิศวกร เครื่องกล วุฒิสถาปนิก วุฒิวิศวกร อุตสาหการ นำโดย วุฒิวิศวกรโยธา ปรึกษา ได้ที่ อีเมลย์ wbk123@gmail.com โทร 0812974848
โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ ชุดที่ 1 เป็นโครงการที่บรรจุอยู่ในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ และ เพื่อเสริมความมั่นคงของระบบไฟฟ้า โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ ชุดที่ 1 ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแต่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการก่อสร้างเมื่่อวันที่ 12 ธันวาคม 2549 โดยจะใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้นประมาณ 36 เดือน ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จและสามารถจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบได้ในเดือน มีนาคม 2553
รายละเอียดโครงการ
สถานที่ตั้งโครงการ
โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ ชุดที่ 1 ตั้งอยุ่ในพื้นที่โรงไฟฟ้าพระนครเหนือเดิมซึ่งหมดอายุรื้อถอนออกไปบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี มีพื้นที่ประมาณ 125 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่โรงไฟฟ้า 70 ไร่ และพื้นที่สีเขียว 55 ไร่
ลักษณะของโครงการ
โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ ชุดที่ 1 เป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม จำนวน 1 ชุด ขาดกำลังผลิตติดตั้ง 704 เมกะวัตต์ ประกอบด้วยเครื่องผลิตกังหันแก๊ส จำนวน 2 เครื่อง ขนาดกำลังผลิตเครื่องละ 221 เมกะวัตต์ และเครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันไอน้ำ จำนวน 1 เครื่อง ขนาดกำลังผลิต 262 เมกะวัตต์
เชื้อเพลิง
โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ ชุดที่ 1 ใช้ก๊าซธรรมชาติจากสหภาพพม่าเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ในอัตราสูงสุดวันละ 125 ล้านลูกบาศก์ฟุตจากโครงการท่อก๊าซธรรมชาติไทรน้อย-โรงไฟฟ้าพระนครใต้/พระนครเหนือ ของ ปริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) โดยท่อส่งก๊าซดังกล่าวจะเชื่อมต่อจากท่อส่งก๊าซ ราชบุรี-วังน้อย ที่ตำบลทวีวัฒนา อำเำอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ไปยังโรงไฟฟ้าพระนครใต้ ส่วนท่อส่งก๊าซมายังโรงไฟฟ้าพระนครเนือจะแยกออกมาที่แขวงศาลาธรรมสพน์ มายังโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ โดยมีกำหนดรับก๊าซในเดือน เมษายน 2552 มติคณะรัฐมนตรี -- พุธที่ 13 ธันวาคม 2006 11:39:24 น.
คณะรัฐมนตรีพิจารณาโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ ชุดที่ 1ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ แล้วมีมติดังนี้ 1. อนุมัติให้ (กฟผ.) ดำเนินการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ ชุดที่ 1 ตั้งอยู่บริเวณโรงไฟฟ้าพระนครเหนือเดิม ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ลงทุนรวม 17,547.00 ล้านบาท ซึ่งโครงการดังกล่าวบรรจุอยู่ในแผนพัฒนากำลัง ของประเทศไทย พ.ศ. 2547 — 2558 (PDP 2004) และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2547
2. เห็นชอบให้ กฟผ. จัดทำรายละเอียดข้อมูลในประเด็นต่าง ๆ ในลักษณะเช่นเดียวกันกับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครใต้ ชุดที่ 3 ดังนี้
2.1 จัดทำรายละเอียดการกำหนดคุณลักษณะเฉพาะในการปฏิบัติการของเครื่องกำเนิด ไฟฟ้าแต่ละหน่วย (Operating Characteristics for the Generating Unit and System Standards) การคำนวณค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payments) และการคำนวณค่าพลังงานไฟฟ้า (Energy Payments) ในลักษณะเดียวกันกับที่กำหนดใน Schedule 1 — 3 ของสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระหว่าง กฟผ. กับผู้ เอกชน (IPP) ให้ พิจารณา
2.2 ให้ กฟผ. ปฏิบัติตาม Grid Code เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าเอกชน และในอนาคตให้ครอบคลุมถึงโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ทุกโรงด้วย เพื่อความมั่นคงและปลอดภัยของระบบไฟฟ้า
2.3 ให้ กฟผ. จัดส่งแผนการปฏิบัติการ (Action Plan) ของการดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าความร้อนร่วมพระนครเหนือชุดที่ 1 และรายงานความก้าวหน้า การดำเนินการให้ ทราบทุก 3 เดือน
2.4 ให้ กฟผ. จัดส่งรายละเอียดการบันทึกบัญชีและข้อมูลทางด้านเทคนิคของโรงไฟฟ้าของ กฟผ. ทุกๆ สิ้นปี จัดส่งให้สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) หรือองค์กรกำกับดูแลที่จะจัดตั้งขึ้นเป็นผู้ตรวจสอบรายละเอียดดังกล่าว เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการประเมินศักยภาพและผลประโยชน์ที่ได้จากการเดิน เครื่องโรงไฟฟ้าของ กฟผ.
2.5 ให้ กฟผ.จัดส่งรายงานความคืบหน้าและรายละเอียดในการดำเนินการตามนโยบายการนำ พลังงานหมุนเวียนจ่ายเข้าระบบไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของโรงไฟฟ้าใหม่ และการจัดตั้งกองทุนพัฒนาพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า (Energy Tax) ในอัตรา 1 สตางค์/หน่วย ของพลังงานไฟฟ้าที่จ่ายเข้าระบบ
3. เห็นชอบให้ กฟผ. ปฏิบัติตามเงื่อนไขของมติดคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในคราวประชุมครั้ง ที่ 9/2548 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2548 ดังนี้
3.1 ปฏิบัติมาตรการป้องกัน แก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในรูปแผน ปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมตามที่เสนอในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวด ล้อมโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ ชุดที่ 1 อย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งรายงานผลการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อม ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พิจารณาตามระยะเวลาที่กำหนดในแผนปฏิบัติการ โดยให้เป็นไปตามแนวทางการนำเสนอผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม
3.2 ในกรณี กฟผ. จะว่าจ้างบริษัทผู้รับจ้างในการออกแบบ/ก่อสร้าง/ดำเนินการ กฟผ. จะต้องนำรายละเอียดมาตรการในแผนปฏิบัติการด้านสิ่งแวดล้อมไปกำหนดในเงื่อนไข สัญญาจ้างบริษัทผู้รับจ้างและให้ถือปฏิบัติโดยเคร่งครัด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในทางปฏิบัติ
3.3 ทำการบำรุงรักษา ดูแลการทำงานของระบบหล่อเย็นให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีเป็นประจำ และมีความปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงานและประชาชนในบริเวณใกล้เคียง
3.4 หากผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมแสดงให้เห็นแนวโน้มปัญหาสิ่งแวดล้อม กฟผ. ต้องดำเนินการปรับปรุงแก้ไขปัญหานั้นโดยเร็วและหากเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม กฟผ. ต้องแจ้งให้จังหวัดนนทบุรี และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทราบโดยเร็ว เพื่อจะได้ประสานให้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
3.5 หาก กฟผ.มีความประสงค์จะเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการและ/หรือแผนปฏิบัติการด้าน สิ่งแวดล้อมซึ่งแตกต่างจากที่นำเสนอในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม กฟผ. จะต้องเสนอรายงานแสดงรายละเอียดการขอเปลี่ยนแปลง ผลการศึกษาและประเมินผลกระทบในรายละเอียดที่ขอเปลี่ยนแปลงเปรียบเทียบกับ ข้อมูลเดิมให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนดำเนินการเปลี่ยนแปลงทุกครั้ง
3.6 หากยังมีประเด็นปัญหา ข้อวิตกกังวลและห่วงใยของชุมชนต่อการดำเนินโครงการ กฟผ. จะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อขจัดปัญหาความขัดแย้งของชุมชนในพื้นที่ทันที
โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมพระนครเหนือ ชุดที่ 1 มีสาระสำคัญ ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโตทางด้าน เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม เสริมความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้าของระบบ ซึ่งการก่อสร้างโรงไฟฟ้าไว้ใกล้ศูนย์กลางการใช้ไฟฟ้าจะสามารถลดการลงทุนด้าน ระบบส่งไฟฟ้าและลดความสูญเสียในระบบส่งไฟฟ้าได้
2. การดำเนินงาน มีระยะเวลาก่อสร้าง 6 ปี (พ.ศ. 2547-2553 begin_of_the_skype_highlighting 2547-2553 end_of_the_skype_highlighting) ประกอบด้วยงานก่อสร้าง 2 ส่วน
2.1 งานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมขนาดกำลังผลิตประมาณ 700 เมกะวัตต์ มีประสิทธิภาพสูงประมาณร้อยละ 48.4 ประกอบด้วย เครื่อง กังหัน แก๊ส จำนวน 2 เครื่อง เครื่องผลิตไอน้ำแรงดันสูงแบบใช้ไอเสีย (Heat Recovery Steam Generator : HRSG) จำนวน 2 เครื่อง และเครื่อง กังหันไอน้ำ จำนวน 1 เครื่อง โดยโครงการฯ ตั้งอยู่ในบริเวณโรงไฟฟ้าพระนครเหนือเดิม ตำบลบางกรวย อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี
2.2 งานก่อสร้างสายส่งเชื่อมโยงกับระบบไฟฟ้าเขตภาคกลาง โดย (1) ขยายสถานีไฟฟ้าแรงสูง 230 เควี พระนครเหนือ เพื่อรับโรงไฟฟ้าชุดใหม่ แต่เนื่องจากโครงการขยายระบบไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ระยะที่ 1 กำลังดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์ 230 เควี ที่สถานีไฟฟ้าแรงสูงพระนครเหนือให้มีขนาดใหญ่ขึ้นพร้อมติดตั้งอุปกรณ์ Bay 230 เควี ไว้ด้วยแล้ว ซึ่งมีกำหนดแล้วเสร็จประมาณเดือนมิถุนายน 2550 ดังนั้น จึงไม่คิดค่าใช้จ่ายในการขยาย Bay 230 เควี เพื่อรองรับโรงไฟฟ้าชุดใหม่ และ (2) ก่อสร้างสายส่งไฟฟ้า 230 เควี จากลานไกไฟฟ้าโรงไฟฟ้าฯ — สถานีไฟฟ้าแรงสูงพระนครเหนือ วงจรคู่ ระยะทางประมาณ 0.5 กิโลเมตร
3. แหล่งเชื้อเพลิง ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงจากโครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติไทรน้อย — โรงไฟฟ้าพระนครใต้/เหนือ โดย บมจ. จะดำเนินการเชื่อมต่อท่อส่งก๊าซธรรมชาติเข้ากับท่อส่งก๊าซธรรมชาติราชบุรี — วังน้อย ที่รับก๊าซมาจากสหภาพพม่าที่อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี และวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติแยกมาจากท่อส่งก๊าซฯ ไทรน้อย — โรงไฟฟ้าพระนครใต้/เหนือ ที่บริเวณสถานีควบคุมก๊าซฯ ศาลาธรรมสพน์ จนถึงบริเวณสะพานพระราม 7 แล้วจึงแยกไปยังโรงไฟฟ้าฯ ทั้งนี้ โรงไฟฟ้าฯ มีความต้องการใช้ก๊าซในอัตราสูงสุดประมาณ 125 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันที่ค่าความร้อนประมาณ 962 บีทียู ต่อลูกบาศก์ฟุต
4. การใช้น้ำ ระบบหล่อเย็นของโรงไฟฟ้าใช้น้ำดิบจากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีปริมาณการใช้น้ำสูงสุด 38,666 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน และน้ำใช้ภายในโรงไฟฟ้าและระบบอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ใช้น้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีปริมาณการใช้น้ำสูงสุด 554 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน สำหรับในช่วงฤดูแล้ง กรณีที่แม่น้ำเจ้าพระยามีสภาพเป็นน้ำกร่อย โรงไฟฟ้าฯ จะใช้น้ำจากการประปานครหลวงเป็นแหล่งน้ำสำรองสำหรับการ และการอุปโภคบริโภค
5. วงเงินลงทุนและแหล่งเงินลงทุน รวมทั้งสิ้นประมาณ 17,547.00 ล้านบาท ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ 10,393.70 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 59 ของวงเงินลงทุน และค่าใช้จ่ายในประเทศ 7,153.30 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 41 ของวงเงินลงทุน โดย กฟผ. จะพิจารณาจากหลายแหล่งเงินทุน ทั้งนี้ ในหลักการ กฟผ. จะประสานงานกับ ผ่านสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะในการพิจารณาแหล่งเงินกู้ตามภาวะตลาดการเงิน ดอกเบี้ย วิธีการและเงื่อนไขต่อไป
6. ผลตอบแทนการลงทุน อัตราผลตอบแทนการลงทุนของโครงการทางด้านเศรษฐศาสตร์ (EIRR) คิดเป็นร้อยละ 21.07 และอัตราผลตอบแทนการลงทุนของโครงการทางด้านการเงิน (FIRR) คิดเป็นร้อยละ 20.06
7. ประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ รักษาระดับความมั่นคงของระบบไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นได้อย่างเพียงพอ ตลอดจนรักษาความสามารถในการจ่ายไฟฟ้าได้ตามมาตรฐาน อีกทั้งการก่อสร้างโรงไฟฟ้าไว้ใกล้ศูนย์กลางการใช้ไฟฟ้าจะช่วยลดความสูญเสีย ในระบบส่งไฟฟ้าได้
--ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดพลเอก (นายกรัฐมนตรี) วันที่ 12 ธันวาคม 2549--จบ-- |