การผลิตเหล็กเพื่องาน วิศวกรรม
ReadyPlanet.com
bullet กฎกระทรวง กําหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. ๒๕๕๙
dot
Group Menu
dot
bulletวุฒิวิศวกรออกแบบโครงสร้าง
dot
Newsletter

dot
bulletโครงการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
bulletวิศวกร งานโลหะ และ เหล็ก
bulletสารพัดปัญหาของวิศวกรโยธา ก่อสร้าง
bulletรับรองความมั่นคงอาคาร โรงเรียนกวดวิชา วุฒิวิศวกร
bulletคณภาพของ วิศวกร
bulletไฟไหม้ กับ งาน วิศวกร โยธา
bulletPower Plant Job กับ งาน วิศวกร
bulletวิศวกรโยธา กับ ตลาด รับสร้าง บ้านชิ้นส่วนสำเร็จรูป
bulletวิศวกร กำหนด มาตราฐาน ออกแบบ แผนผังโรงงาน
bulletวิศวกร กับ การเลือกทำเล ที่ตั้งโรงงาน
bulletขอบเขตงานที่วิศวกร ระดับต่างๆ ทำได้ แก้ไขใหม่
bulletมาตรฐานกําหนดตําแหน่งสายงาน วิศวกรรมโยธา
bulletน้ำ และ สารผสม คอนกรีต
bulletgooglebc0321ea4a8e3495.html




วิศวกร งานโลหะ และ เหล็ก

รับ ปรึกษา และ ออกแบบ

อาคารโครงสร้างเหล็ก

รับรองรายการคำนวณ

วิเคราะห์แรงแผ่นดินไหว

ตรวจสอบรับรองการก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร

บริษัท 4 ดับบลิว ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ทีมงาน วุฒิวิศวกร ไฟฟ้า วุฒิวิศวกร เครื่องกล วุฒิสถาปนิก วุฒิวิศวกร อุตสาหการ นำโดย วุฒิวิศวกรโยธา

หรือ

เคลื่อนย้ายอาคาร หรือ ทดสอบการรับน้ำหนักพื้นโดยวุฒิวิศวกร

 

บริการ ตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน สำหรับโรงงานควบคุม และอาคารควบคุม

 

รวมทั้งงานแก้ไขปัญหาอาคาร  โดย วุฒิวิศวกร 

ปรึกษา ได้ที่ อีเมลย์ wbk123@gmail.com 

โทร 0812974848

Building Inspection, Building design,Certify calculation,

Check Earthquake resistance of Steel structure

by Senior Professional Engineer and Architect

 

ข้อดีของการใช้โครงสร้างเหล็กในการก่อสร้างอาคาร มีดังนี้

 

1. ก่อสร้างได้รวดเร็ว: เนื่องจากชิ้นส่วนเหล็กสามารถผลิตและเตรียมไว้ล่วงหน้าในโรงงาน เมื่อขนส่งมาถึงหน่วยงานก็สามารถประกอบติดตั้งได้ทันที ช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้างลงได้มาก

 

2. น้ำหนักเบา แต่รับแรงได้สูง: เหล็กมีความแข็งแรงสูง สามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้มากแม้จะมีขนาดเล็ก ทำให้ลดขนาดและน้ำหนักโครงสร้างลงได้ ส่งผลให้ประหยัดวัสดุและค่าใช้จ่าย 

 

3. ติดตั้งง่าย ปรับเปลี่ยนได้: โครงสร้างเหล็กสามารถถอดประกอบได้ง่าย เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอย นอกจากนี้ยังสามารถขยายต่อเติมได้ในภายหลัง

 

4. ทนไฟ ทนแผ่นดินไหว: เหล็กทนความร้อนได้สูง ไม่ลามไฟ ช่วยชะลอการพังทลายของอาคารเมื่อเกิดเพลิงไหม้ อีกทั้งโครงสร้างเหล็กยังมีความยืดหยุ่นสูง สามารถโค้งงอได้ดีโดยไม่หักพัง จึงทนทานต่อแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว

 

5. ลดขยะจากการก่อสร้าง: เนื่องจากมีการเตรียมชิ้นส่วนเหล็กมาจากโรงงาน ทำให้เศษวัสดุเหลือใช้ในไซต์งานก่อสร้างลดลง ง่ายต่อการเก็บกวาดทำความสะอาด ไม่ก่อให้เกิดขยะและฝุ่นผงมากเหมือนการก่อสร้างด้วยคอนกรีต

 

6. บำรุงรักษาต่ำ อายุการใช้งานยาวนาน: โครงสร้างเหล็กมีความคงทน หากชุบสังกะสีหรือทาสีกันสนิมอย่างดี ก็จะยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น โดยไม่ต้องบำรุงรักษาบ่อย ๆ

 

7. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: เหล็กเป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมาหลอมใช้ใหม่ได้ 100% ช่วยประหยัดพลังงานและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ อีกทั้งยังลดปริมาณขยะจากการรื้อถอนอาคารอีกด้วย

 

การใช้โครงสร้างเหล็กจึงมีข้อดีหลายประการ ทั้งความรวดเร็ว แข็งแรงทนทาน ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนง่าย บำรุงรักษาน้อย รวมถึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการก่อสร้างสมัยใหม่

ข้อดีของการใช้โครงสร้างเหล็กสำหรับงานอาคารขนาดใหญ่พิเศษ มีดังนี้

 

1. รับน้ำหนักบรรทุกได้สูง: เหล็กโครงสร้างมีกำลังรับแรงดึงและแรงอัดสูงมาก จึงสามารถรองรับน้ำหนักอาคารขนาดใหญ่ที่มีหลายชั้นได้อย่างมั่นคงแข็งแรง สามารถออกแบบให้มีช่วงเสาที่กว้างขึ้นได้

 

2. ลดระยะเวลาการก่อสร้าง: การก่อสร้างอาคารใหญ่พิเศษด้วยเหล็กจะใช้เวลาน้อยกว่าคอนกรีตมาก เนื่องจากสามารถเตรียมชิ้นส่วนเหล็กจากโรงงานมาประกอบได้เลย ทำให้ลดเวลาหล่อคอนกรีตในหน่วยงานได้มาก

 

3. น้ำหนักโครงสร้างเบา: เมื่อเทียบกับคอนกรีตแล้ว โครงสร้างเหล็กมีน้ำหนักเบากว่ามาก ทำให้ลดขนาดฐานรากและเสาได้ ส่งผลให้ประหยัดพื้นที่ใช้สอยและวัสดุก่อสร้าง

 

4. เหมาะกับการออกแบบอาคารที่มีลักษณะพิเศษ: เหล็กสามารถดัดโค้งและประกอบเป็นรูปทรงที่ซับซ้อนได้ง่าย จึงเหมาะกับการออกแบบอาคารที่มีลักษณะโดดเด่น สวยงาม ตามความต้องการของสถาปนิก

 

5. ปลอดภัยจากอัคคีภัย: โครงสร้างเหล็กมีความต้านทานต่อการลุกลามของเพลิงได้ดี จึงช่วยป้องกันการพังถล่มของอาคาร และทำให้ผู้ใช้อาคารมีเวลาหนีภัยได้มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับอาคารขนาดใหญ่

 

6. บำรุงรักษาต่ำ: โครงสร้างเหล็กไม่ต้องดูแลรักษามากเหมือนคอนกรีต ไม่เกิดการแตกร้าว หรือหลุดล่อนเมื่อเวลาผ่านไปนาน ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง และยืดอายุการใช้งานอาคารได้ยาวนาน

 

7. เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: เหล็กเป็นวัสดุที่นำกลับมารีไซเคิลได้ 100% เมื่ออาคารหมดอายุหรือต้องรื้อถอน ก็สามารถนำเหล็กมาหลอมใช้ใหม่ได้ ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติและลดขยะจากการก่อสร้างได้มาก

 

สำหรับอาคารขนาดใหญ่พิเศษ เช่น ตึกสูง อาคารสำนักงานใหญ่ ศูนย์ประชุม หรือห้างสรรพสินค้า การเลือกใช้โครงสร้างเหล็กจึงมีข้อดีหลายประการ ทั้งความแข็งแรงในการรับน้ำหนัก ความรวดเร็วในการก่อสร้าง ความยืดหยุ่นในการออกแบบ ความปลอดภัย ตลอดจนเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงตอบโจทย์การก่อสร้างที่พิถีพิถันและทันสมัยได้เป็นอย่างดี

 

20 อันดับสิ่งก่อสร้างที่เป็นเหล็กที่มีชื่อเสียงของโลก มีดังนี้

 

1. หอไอเฟล (Eiffel Tower) - ปารีส, ฝรั่งเศส

2. อาคารเอ็มไพร์สเตตbuilding (Empire State Building) - นิวยอร์ก, สหรัฐอเมริกา

3. สะพานโกลเดนเกต (Golden Gate Bridge) - ซานฟรานซิสโก, สหรัฐอเมริกา

4. หอคอยกลมโอเรียนทัล (Oriental Pearl Tower) - เซี่ยงไฮ้, จีน

5. ลอนดอนอาย (London Eye) - ลอนดอน, สหราชอาณาจักร

6. สะพานซิดนีย์ฮาเบอร์ (Sydney Harbour Bridge) - ซิดนีย์, ออสเตรเลีย

7. หอคอยสკายทรี (Sky Tree) - โตเกียว, ญี่ปุ่น

8. สะพานเซเรนเกติ (Serengeti Bridge) - แทนซาเนีย

9. หอคอยเซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ (Shanghai World Financial Center) - เซี่ยงไฮ้, จีน

10. สะพานเฮอร์คิวลิส (Hercílio Luz Bridge) - ฟลอริอานโนโปลิส, บราซิล

11. หอคอยกัลฟาร์ (Gulf Tower) - โดฮา, กาตาร์

12. อาคารจอห์นแฮนค็อกเซ็นเตอร์ (John Hancock Center) - ชิคาโก, สหรัฐอเมริกา

13. โครงสร้างอะตอมเมียม (Atomium) - บรัสเซลส์, เบลเยียม

14. สะพานมิลเลนเนียม (Millennium Bridge) - ลอนดอน, สหราชอาณาจักร

15. หอคอยเซ็นทรัลพลาซ่า (Central Plaza) - ฮ่องกง

16. อนุสาวรีย์ดวงอาทิตย์ (Monument to the Sun) - ซาราโกซา, สเปน

17. หอคอยสื่อสารโทรคมนาคมกวางโจว (Canton Tower) - กวางโจว, จีน

18. อาคารวิลลิสทาวเวอร์ (Willis Tower) - ชิคาโก, สหรัฐอเมริกา

19. ศูนย์กีฬาแห่งชาติปักกิ่ง (Beijing National Stadium) - ปักกิ่ง, จีน

20. สะพานควีนส์เฟอร์รี่ครอสซิ่ง (Queensferry Crossing) - เอดินเบอระ, สก็อตแลนด์

 

สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงเรื่องการออกแบบที่สวยงาม โดดเด่น ใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างที่ทันสมัย แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของเมืองและประเทศต่างๆ ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยี่ยมชมได้เป็นจำนวนมากในแต่ละปี

20 อันดับสิ่งก่อสร้างที่เป็นเหล็กที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย มีดังนี้

 

1. หอคอยแห่งกรุงเทพมหานคร (Baiyoke Tower II) - กรุงเทพฯ

2. สะพานภูมิพล (Bhumibol Bridge) - กรุงเทพฯ

3. หอคอยโทรคมนาคมแห่งชาติ (National Telecom Tower) - กรุงเทพฯ

4. อาคารไทยซีซีทาวเวอร์ (Thai CC Tower) - กรุงเทพฯ

5. สะพานพระราม 4 (Rama IV Bridge) - กรุงเทพฯ

6. อาคารสำนักงานใหญ่ ปตท. (PTT Headquarters) - กรุงเทพฯ

7. อาคารสำนักงานใหญ่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT Headquarters) - นนทบุรี

8. สะพานพระราม 8 (Rama VIII Bridge) - กรุงเทพฯ

9. อาคารศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 (Bangkok City Hall 2) - กรุงเทพฯ

10. อาคารศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (Queen Sirikit National Convention Center) - กรุงเทพฯ

11. ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ (CentralWorld) - กรุงเทพฯ

12. สะพานกรุงเทพ (Krungthep Bridge) - กรุงเทพฯ

13. อาคารจัสมินอินเตอร์เนชั่นแนลทาวเวอร์ (Jasmine International Tower) - กรุงเทพฯ

14. สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต (Mo Chit BTS Station) - กรุงเทพฯ 

15. สะพานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี (Rama IX Bridge) - กรุงเทพฯ

16. อาคารไซเบอร์เวิลด์ทาวเวอร์ (Cyber World Tower) - กรุงเทพฯ

17. ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ (The EmQuartier) - กรุงเทพฯ

18. อาคารเอ็กซ์เชนจ์ทาวเวอร์ (The Exchange Tower) - กรุงเทพฯ

19. สะพานวงแหวนรัตนาธิเบศร์ (Rattanathibet Bridge) - นนทบุรี

20. อาคารเอไอเอ สาทร ทาวเวอร์ (AIA Sathorn Tower) - กรุงเทพฯ

 

สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ไม่เพียงมีการออกแบบที่ทันสมัยสวยงาม ใช้โครงสร้างเหล็กเป็นส่วนสำคัญ แต่ยังมีบทบาทในการเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญทางสถาปัตยกรรมของประเทศไทย รองรับการใช้งานที่หลากหลายทั้งด้านธุรกิจ การคมนาคม การท่องเที่ยว ฯลฯ เป็นความภาคภูมิใจของคนไทยที่มีฝีมือทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ

 

หล็ก เป็นธาตุที่มีบนโลกมากเป็นอันดับที่สาม รองจาก ออกซิเจน และ ซิลิกอน  ปัจจุบันแม้จะมีวัสดุอื่นใหม่ๆ ที่เบากว่า แข็งแรงกว่าเหล็ก แต่ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าเหล็ก

โดยปกติเหล็กจะเกิดในธรรมชาติในรูปของแร่เฮมาไทท์ และ แมกนีไทท์ โดยมีแหล่งแร่ที่สำคัญอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย อินเดีย บราซิล เป็นต้น ขั้นตอนคร่าว ๆ ของกระบวนการผลิต

เริ่มจากการทำเหมือง การแต่งแร่เหล็ก การถลุงโดยเตาพ่นลมเพื่อให้ได้เหล็กดิบ หรือ เหล็กพิก

และขั้นตอนสุดท้าย คือ ปรุงน้ำเหล็กให้บริสุทธิ์เพื่อให้เป็นเหล็กกล้า

ในทุกขึ้นตอนจะมีของเสียที่ไม่ต้องการที่สามารถสร้างปัญหามลภาวะได้ในหลายรูปแบบ ซึ่งอาจจะอยู่ใน สภาพอากาศ น้ำ และ ของแข็ง แต่หากเลือกวิธีการในการป้องกันการเกิดมลภาวะที่เหมาะสมแล้วปัญหาดังกล่าว ก็จะไม่ส่งผลการะทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อม

วัตถุดิบที่สำคัญอันได้แก่ แร่เหล็ก ถ่านโค๊ก หินปูน และ อากาศจะถูกป้อนเข้าสู่เตาพ่นลมในอัตราส่วน 7: 3: 1: 4 จุดที่เป็นส่วนที่มีปัญหามาก คือ ในส่วนของเตาผลิตถ่านโค๊ก (Coke Oven)

โค๊กผลิตได้โดยการเผาถ่านหินภายใต้แรงดัน และที่อับอากาศ เป็นเวลา 13-14 ชั่วโมง โค๊กที่ได้จะถูกทำให้เย็นอย่างรวดเร็วโดยการพ่นน้ำ ดังนั้นผลพลอยได้จากกระบวนการถลุงเหล็ก ได้แก่ สารไอระเหย (Volatile) ก๊าซในรูปต่าง ๆ คาร์บอนมอนอกไซด์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ แอมโมเนีย น้ำเสีย ฝุ่น และไอระเหย ต่างๆ

นอกจากเตาพ่นลมแล้ว แร่เหล็กสามารถ ถลุงที่อุณหภูมต่ำโดย ที่แร่เหล็กอาจจะไม่หลอมเหลวก็ได้ โดยใช้ก๊าซธรรมชาติ หรือ ถ่านหิน ซึ่งเป็นกรรมวิธีในการผลิตเหล็กแบบใหม่ที่เรียกว่า Direct Reduction การทำ Direct Reduction แตกต่างจากการผลิตเหล็ก โดยเตาพ่นลมที่วิธีนี้ ไม่ใช้ถ่านโค๊ก มีขนาดกำลังการผลิตเล็กกว่ามาก และเป็นกรรมวิธีที่มีปัญหาเกี่ยวกับมลภาวะน้อย เนื่องจากไม่มีเตาผลิตโค๊ก ปัจจุบันมีกระบวนการผลิตที่เป็นที่นิยม แพร่หลายอยู่หลายวิธี ได้แก่ HyL,Midrex, Corex, Fastmet เป็นต้น

 ผลผลิตจากการถลุงเรียกว่าเหล็กพิก (Pig Iron) ซึ่งมีส่วนประกอบของเหล็ก ประมาณ 95% คาร์บอน 3-4%  ซิลิกอน 1% และ ธาตุอื่นๆ เล็กน้อย เหล็กพิกนี้จะต้องนำมาทำให้บริสุทธิ์ขึ้นและเติมสารอัลลอย เพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของเหล็ก ในเตาที่เรียกว่า BOF หรือ Q-BOP และ Open Hearth เนื่องจากเหล็กพิกไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับนำมาผลิตชิ้นส่วนทาง วิศวกรรม

ในขั้นตอนนี้ คาร์บอน และ ธาตมลทินอื่นๆ จะถูกทำให้น้อยลงโดยการพ่นออกซิเจนเข้าไปในน้ำเหล็ก เหล็กกล้าที่ใช้งานส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเหล็กแผ่น เหล็กโครงสร้าง ต่างมีปริมาณคาร์บอนไม่เกิน 0.3% ฟอสฟอรัส และกำมะถัน ไม่เกิน 0.05% เหล็กกลุ่มนี้เรียกันว่า เหล็กกล้าคาร์บอน นอกจากนี้ หากมีการเติมธาตุผสมอื่น ๆ เช่น แมงกานีส นิเกิล โครเมียม โมลิบดินั่ม วาเนเดียม ฯลฯ เข้าไปโดยมีผลรวมไม่เกิน 5% ก็จะได้เหล็กที่เรียกกันว่า เหล็กธาตุผสม (Alloy Steel) หากผลรวมของธาตุผสมเกิน 5% เหล็กที่ได้จะจัดอยู่ในกลุ่มเหล็กเครื่องมือ (Tool Steel)

นอกจากการผลิตเหล็กกล้าจากเหล็กพิก แล้ว อีก วิธีหนึ่งที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้น และเป็นกระบวนการผลิตที่มีในประเทศไทย นั่นคือ การผลิตเหล็กกล้าจากการหลอมเศษเหล็ก ด้วย เตาอาร์คไฟฟ้า (Electric Arc Furnace)

 

การผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อน

 

ประเทศไทยในปี 2357 มีปริมาณการใช้เหล็กแผ่นกล้ารีดร้อน 1.8 ล้านตัน และ เหล็กแผ่นรีดเย็น 1.3 ล้านตัน โดยประมาณ ผู้ใช้รายใหญ่สำหรับเหล็กกแผ่นรีดเย็นเป็ฯ อตสาหกรรมผลิตเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก สังกะสีและโครเมียม ส่วนเหล็กแผ่นรีดร้อนน้นใช้ทั่วไปในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ท่อเหล็ก และ เฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น

ภาพวาดในหน้านี้แสดงขั้นตอนของการผลิตเหล็กแผ่นม้วนรีดร้อนโดย สังเขป จากแผ่นเหล็กแท่งแบน (Slab) ที่ออกจากเตาเผาที่อุณหภูมิ 1000 C เศษ ขณะที่ออกมาเหล็กแท่งแบนจะถูกปกคลุมด้วยเหล็กออกไซด์ หรือ ที่เรียกกันทั่วไปว่า หเกล (Scale) ซึ่งจะถูกกำจัดโดยการฉีดน้ำอย่างแรงกับการรีดเบา ๆ หลังจากนั้นจะถูกลำเลียงเข้าสู่แท่นรีดหยาบ (Roughing Stands) ในระหว่างนี้เหล็กแท่งแบนจะมีขนาดบางลงและมีขนาดยาวขึ้นเรื่อยๆ ความกว้างของเหล็กแท่งแบนจะถูกควบคุม โดยชุดลูกรีดในแนวตั้ง ขณะการรีดร้อน น้ำจะนวนมหาศาลจะถูกฉีดไปที่เหล็กแผ่นเพื่อกำจัดสเกล และควบคุมอุณหภูมิของการีดให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม เนื่องจากเหล็กจะมีอุณหภูมเพิ่มขึ้นตลอดเวลาขณะถูกทำการรีด 

แผ่นเหล็กที่รีดได้จนมีขนาดความหนาตามต้องการแล้วจะได้รับการส่งต่อมาที่ โต๊ะเย็น (Cooling Table) ที่ทำหน้าที่ปรับอุณหภูมิก่อนจะม้วนเป็นคอยล์ (Coil) ด้วยความเร็วที่อาจสูงถึง 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

การผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็น

 

 

เหล็กแผ่นรีดเย็น

 

เริ่มโดยรับม้วนเหล็กแผ่นรีดร้อนมารีดซ้ำโดยไม่มีการเผาเหล็กให้ร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็นมีคุณสมบัติที่เหนือกว่าเหล็กรีดร้อนตรงที่มีผิวที่สวย ขนาดและ ความเรียบที่สม่ำเสมอ และส่วนผสมเดียวกัน เหล็กแผ่นรีดเย็นจะมีความแข็งแรง สูงกว่า แต่ก่อนที่จะรีดได้นั้น เหล็กม้วนรีดร้อนจะต้องได้รับการทำความสะอาดด้วยกรด (Pickling) เสียก่อนให้ปราศจาก สิ่งสกปรกและสเกล

ขั้นตอน คร่าว ๆ มีดังนี้ เหล็กม้วนรีดร้อน จะถูกนำเข้าเครื่องล้างอย่างต่อเนื่อง (Continuous Pickler)เครื่องดังกล่าวออกแบบให้ทำงานได้อย่างต่อเนื่องโดยมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ อ่างกรด (Pickling Tank) ส่วนเก็บแผ่นสำรอง (Accumulator)  เครื่องตัดปลายให้เรียบ (Shear) และเครื่องเชื่อม (Welder) สำหรับต่อปลายม้วนเข้าด้วยกัน ดังนั้นในขณะที่แผ่นเหล็กม้วนแรกหมดลง ปลายของม้วนจะถูกตัดให้เรียบ และจะถูกทำการเชื่อมต่อกับหัวม้วนของเหล็กม้วนใหม่ก่อนเข้าสู่บ่อกรด เหล็กแผ่นอาจจะถูกรีดเบา ๆ (Temper Mill)  อีกครั้งก็ได้เพื่อช่วยให้สเกลหลุดร่อนได้ง่ายขึ้น หลังจากบ่อกรดเหล็กแผ่นก็จะถูกล้างด้วยน้ำสะอาด และทำให้แห้งก่อนส่งต่อเข้าสู่การรีด

 

  
 

 

เหล็กม้วนรีดร้อนที่ผ่านการทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วจะถูกส่งเข้าแท่นรีดเย็น แท่นรีดเย็นที่ทันสมัยจะมีความสามารถรีดเหล็กแผ่นหนา 2.5 มม. ให้บางลงได้ถึง 0.75 มม. ในเวลา ไม่ถึง 2 นาที โดยที่ความยาวของแผ่นเหล็กจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนกับความหนาที่ลดลง

ผลสืบเนื่องจากกระบวนการรีดเย็น ทำให้เหล็กแผ่นที่ได้มีความแข็งเพิ่มขึ้น ซึ่งบางครั้งไม่เหมาะสมกับผลสืบเนื่องจากรกระบวนการรีดเย็น ทำให้เหล็กแผ่นที่ได้มีความแข็งเพิ่มขึ้น ซึ่งบางครั้งไม่เหมาะกับการใช้งาน เนื่องจาก จะนำไปขึ้นรูปได้ยาก เหล็กม้วนรีดเย็นดังกล่าวจึงจำเป็นจะต้องผ่านกระบวนการอบอ่อนเพื่อทำให้เหล็กนั้นมีความแข็งตามระบุ และ ให้มีคุณสมบัติเหมาะสมต่การนำไปใช้งานต่อไป

 

เหล็กม้วนรีดเย็นจะถูกนำไปวางซ้อนกัน และครอบด้วยฝา มีลักษณะเป็นระฆังคว่ำ เพื่อทำหน้าที่ควบคุมสภาพบรรยากาศไม่ให้เหล็กม้วนเกิดสเกลในขณะอบ หลังจากครอบด้วยฝาเรียบร้อยแล้ว เตาอบก็จะถูกยกมาครอบอีกชั้นหนึ่ง กระบวนการนี้จะใช้เวลา 5-6 วัน

 หลังจากผ่านการอบอ่อนแล้ว เหล็กม้วนจะได้รับการรีดเป็นครั้งสุดท้าย (Temper Mill) เพื่อปรับสภาพความแข็ง ความเรียบ คุณสมบัติของโลหวิทยา และ คุณภาพของผิวหน้า เหล็กม้วนดังกล่าว อาจจุถูกส่งไปขายในลักษณะ ม้วน หรือ ตัดตามขนาดก็ได้ ก่อนส่งให้ผู้ซื้อ

 

 

 

 

 

 

 อุตสาหกรรมเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี

 

 

 

 

การเตรียมแผ่น

แผ่นเหล็กจะเคื่อนจากที่จ่ายม้วน (Pay-off) ผ่านเครื่องเชื่อมต่อแผ่นเข้าเครื่องสำรองแผ่น (Accumulator) ซึ่งจะทำหน้าที่จ่ายแผ่นได้อย่างต่อเนื่องแม้ขณะการเชื่อมต่อม้วน ต่อจากนั้นแผ่นเหล็กกล้า จะได้รับการทำความสะอาดด้วยสารเคมี ตามด้วยการอบอย่างต่อเนื่องเพื่อปรับสภาพแผ่นเหล็ก

บ่อชุบ

แผ่นเหล็กจะถูกชุบลงในบ่อที่มีสังกะสีเหลวอยู่ ขณะที่แผ่นเหล็กวิ่งขึ้นมาเหนือระดับน้ำโลหา จะถูกลมอย่างแรงเป่าไล่ปริมาณน้ำสังกะสีเส่วนเกิน เพื่อควบคุมความหนาของสังกะสี แผ่นเหล็กเคลือบจะวิ่งขึ้นสู่หอคอยเพื่อให้น้ำสังกะสีแข็งตัว หลังจากนั้นจะมีการปรับสภาพผิวด้วยสารเคมีเพื่อป้องกันผิวอีกครั้งก่อนนำไปยืดให้เรียบก่อน การม้วนเป็นคอยล์เพื่อส่งเขาย หรือนำไปขึ้นรูปต่อไป

หน้างานที่กำลังก่อสร้าง ก็มีการก่อสร้างทั้งสี่ส่วน มีส่วนที่ผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นมาด้วย

ส่วนที่ลำเลียงวัสดุ ทำอุโมงเพื่อส่งลำเลียงวัสดุเสร็จเป็นส่วนใหญ่แล้ว

ส่วนที่ผลิตแต่งแร่ให้เป็นเม็ด ก็ไปได้เยอะแล้ว

ส่วนเตาพ่นลมก็ไปได้เยอะแล้วเหมือนกัน ลองดูรูป แล้วเดาไปก่อนนะคับ

 

 เหล็กกล้ามีจุดอ่อนประการหนึ่งคือ สามารถเกิดสนิมและผุกร่อนได้ง่าย ซึ่งส่งผลให้โลหะขาดความแข็งแรง และไม่สวยงาม วิธีการป้องกันการเกิดสนิมของเหล็กแผ่นที่แพร่หลายได้แก่การเคลือบด้วยโลหะ เช่น สังกะสี ดีบุก โครเมียม และ การเคลือบด้วยสารอินทรีย์ เช่น สี แลคเคอร์ หรือ อาคริลิค เป็นต้น

สำหรับการเคลือบเหล็กแผ่นด้วยโลหะนั้น ที่นิยมแพร่หลายมากที่สุดได้แก่ การเคลือบด้วยสังกะสี ซึ่งแสดงโดยแผนภูมข่างล่าง ซึ่งเป็นเครื่องจักรที่เคลือบแผ่นเหล็กด้วยสังกะสีอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเร็วหลายร้อยเมตรต่อนาที แผ่นเหล็กที่เคลือบสังกะสีแล้ว สามารถนำไปใช้งานได้กว้างขวางมาก เช่น ทำหลังคา ตัวถังรถยนต์ รางน้ำ ถังเก็บน้ำ แผ่นเหล็กชุบสังกะสีนี้ อาจจะนำไปเคลือบสีทับอีกชั้นก็ได้ เพื่อเพิ่มความสวยงาม และการต่อต้านการผุกร่อน

 เหล็กโครงสร้างและเหล็กเส้น

ปัจจุบันประเทศไทยสามารถผลิตเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างภายในประเทศได้จากการหลอมเศษเหล็กในเตาไฟฟ้าแล้วเทเหล็กให้ได้เหล็กแท่งเล็ก (Billet) และเหล็กแท่งใหญ่ (Bloom) แล้วจึงนำไปรีด เหล็กแท่งเล็กจะถูกนำไปรีดเป็นเหล็กเพลากลม เหล็กเส้นก่อสร้างและ เหล็กลวด ส่วนเหล็กแท่งใหญ่นั้นจะนำไปรีดเป็นเหล็กโครงสร้าง ดังรายละเอียดข้างล่าง

การรีดเหล็กโครงสร้าง

เหล็กแท่งใหญ่ (Bloom) เริ่มต้นจะต้องถูกนำไปเผาให้ร้อนประมาณ 1050 C แล้วจึงถูกส่งเข้าเครื่องรีดกระเทาะสเกล (Breakdown stand) และแท่นรีดที่มีลูกรีดเป็นร่องรูปร่างต่างๆ แท่งเหล็กอาจจะวิ่งไปกลับได้หลายเที่ยวในแต่ละแท่น (ยกเว้นแท่นสุดท้าย) จนกว่าจะได้ขนาดและรูปร่างที่ต้องการจากแท่นรีดสุดท้าย เหล็กโครงสร้างจะต้องผ่านเครื่องรีดให้ตรง (Straightener) หลังจากนั้นอาจจะถูกตัดหัวให้เรียบและตัดให้ความยาวตามความต้องการของผู้ใช้

 

 

 



ชื่อ
เบอร์โทรศัพท์
อีเมล
หัวข้อ
รายละเอียด