อาคารสูง
ReadyPlanet.com
bullet กฎกระทรวง กําหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. ๒๕๕๙
dot
Group Menu
dot
bulletวุฒิวิศวกรออกแบบโครงสร้าง
dot
Newsletter

dot
bulletโครงการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
bulletวิศวกร งานโลหะ และ เหล็ก
bulletสารพัดปัญหาของวิศวกรโยธา ก่อสร้าง
bulletรับรองความมั่นคงอาคาร โรงเรียนกวดวิชา วุฒิวิศวกร
bulletคณภาพของ วิศวกร
bulletไฟไหม้ กับ งาน วิศวกร โยธา
bulletPower Plant Job กับ งาน วิศวกร
bulletวิศวกรโยธา กับ ตลาด รับสร้าง บ้านชิ้นส่วนสำเร็จรูป
bulletวิศวกร กำหนด มาตราฐาน ออกแบบ แผนผังโรงงาน
bulletวิศวกร กับ การเลือกทำเล ที่ตั้งโรงงาน
bulletขอบเขตงานที่วิศวกร ระดับต่างๆ ทำได้ แก้ไขใหม่
bulletมาตรฐานกําหนดตําแหน่งสายงาน วิศวกรรมโยธา
bulletน้ำ และ สารผสม คอนกรีต
bulletgooglebc0321ea4a8e3495.html




อาคารสูง

รับ ออกแบบ อาคาร

 รับรองรายการคำนวณ

  วิเคราะห์แรงแผ่นดินไหว

บริการ ตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน สำหรับโรงงานควบคุม และอาคารควบคุม

ตรวจสอบอาคาร  โดย วุฒิวิศวกร

 ปรึกษา ได้ที่ อีเมลย์ 4we@4wengineering.com

  บริษัท 4 ดับบลิว ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ทีมงาน วุฒิวิศวกร ไฟฟ้า วุฒิวิศวกร เครื่องกล วุฒิสถาปนิก วุฒิวิศวกร อุตสาหการ นำโดย วุฒิวิศวกรโยธา

โทร 0812974848 LineID : 4wee

หลักการสร้างอาคารสูงที่มีความสูงมากกว่า 200 เมตร มีดังนี้

 

1. ระบบโครงสร้างที่แข็งแรง ต้องออกแบบให้สามารถรับแรงลม แรงแผ่นดินไหว และน้ำหนักของอาคารเองได้อย่างปลอดภัย มักใช้โครงเหล็กหรือคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีกำลังสูง

 

2. ระบบลิฟต์และบันไดที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยขึ้นลงได้อย่างสะดวกรวดเร็ว มีจำนวนลิฟต์เพียงพอ มีระบบควบคุมอัจฉริยะ และมีบันไดหนีไฟที่ได้มาตรฐาน

 

3. ระบบสุขาภิบาล ประปา ไฟฟ้า และสื่อสารที่ดี ต้องมีการกำหนดตำแหน่งแนวท่อและสายไฟอย่างเป็นระเบียบ มีขนาดเพียงพอต่อการใช้งาน และสามารถซ่อมบำรุงได้สะดวก

 

4. ระบบป้องกันอัคคีภัย ต้องติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับควัน สปริงเกลอร์ ถังดับเพลิง เครื่องดับเพลิงอัตโนมัติ และมีการซ้อมหนีไฟเป็นประจำ

 

5. การใช้วัสดุน้ำหนักเบา เพื่อลดน้ำหนักรวมของอาคาร เช่น ผนังเบา หรือวัสดุประกอบอาคารที่ผลิตจากวัสดุน้ำหนักเบา

 

6. การออกแบบรูปทรงอาคารให้สามารถต้านทานแรงลมได้ดี เช่น รูปทรงกระบอก รูปไข่ หรือทรงกลม เพื่อลดแรงปะทะของลมที่กระทำต่ออาคาร

 

7. การใช้เทคโนโลยีการสั่นสะเทือน (vibration damping) เช่น ติดตั้งตัวหน่วงการสั่นสะเทือนแบบมวลเชิงพลศาสตร์ (tuned mass damper) เพื่อลดการสั่นไหวของอาคารจากแรงลมและแผ่นดินไหว 

 

8. กระบวนการก่อสร้างที่มีคุณภาพสูง ต้องมีการควบคุมคุณภาพในทุกขั้นตอน ทั้งการผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูป การประกอบ และการตรวจสอบ เพื่อให้อาคารมีความแข็งแรงปลอดภัย

 

การออกแบบและก่อสร้างอาคารสูงเหล่านี้ต้องอาศัยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ ทั้งสถาปนิก วิศวกร และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และต้องปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างอาคารที่มั่นคงแข็งแรงและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน 

 

1. เลือกชนิดของฐานรากให้เหมาะสมกับสภาพดิน เช่น ฐานรากแผ่ ฐานรากเสาเข็ม หรือฐานรากแบบผสมผสาน

โดยพิจารณาจากรายงานการสำรวจดินและการวิเคราะห์ทางวิศวกรรมปฐพี

 

2. ออกแบบฐานรากให้สามารถรองรับน้ำหนักอาคารและแรงที่กระทำได้อย่างปลอดภัย

โดยมีค่าความปลอดภัยที่เหมาะสมและเป็นไปตามมาตรฐานและกฎหมายที่กำหนด

 

3. ใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงในการก่อสร้างฐานราก เช่น คอนกรีตกำลังสูง เหล็กเสริมคุณภาพดี

และมีการควบคุมคุณภาพในกระบวนการผสมและเทคอนกรีตอย่างเข้มงวด

 

4. ออกแบบระบบโครงสร้างให้มีความแข็งแรงและเสถียรภาพสูง เช่น โครงสร้างแกนกลาง โครงยึดโยง โครงข้อแข็ง

โดยพิจารณาจากแรงลม แรงแผ่นดินไหว และแรงอื่นๆ ที่กระทำต่ออาคาร

 

5. เลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับโครงสร้างอาคารสูง เช่น เหล็กกล้ากำลังสูง คอนกรีตกำลังสูง

ที่มีความทนทาน ต้านทานการสั่นสะเทือน และทนไฟได้ดี

 

6. ออกแบบโครงสร้างให้สามารถต้านทานแรงลมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้รูปทรงที่เหมาะสม เช่น ทรงกระบอก ทรงรี

และมีองค์ประกอบที่ช่วยลดแรงปะทะของลม เช่น ใบบังแดด ร่องลม

 

7. ติดตั้งระบบหน่วงการสั่นสะเทือนแบบมวลเชิงพลศาสตร์ (tuned mass damper) ในโครงสร้างอาคาร

เพื่อลดการสั่นไหวของอาคารจากแรงลมและแผ่นดินไหว และเพิ่มความสบายในการใช้งาน

 

8. ออกแบบโครงสร้างให้มีความเหนียวและสามารถดูดซับพลังงานได้ดี เพื่อป้องกันการวิบัติแบบฉับพลัน

โดยใช้องค์ประกอบโครงสร้างที่มีความเหนียว เช่น คานและเสาคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีเหล็กปลอกเพียงพอ

 

9. ใช้เทคนิคการก่อสร้างที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและเสถียรภาพของโครงสร้าง เช่น การเสริมคานรับแรงอัด (outrigger)

การใช้โครงยึดเหล็ก (belt truss) และการใช้โครงถักที่ยอดอาคาร (hat truss)

 

10. จัดวางตำแหน่งโครงสร้างหลักและโครงสร้างรองให้มีการกระจายน้ำหนักอย่างเหมาะสม

เพื่อให้อาคารมีการทรงตัวที่ดีและสามารถต้านทานแรงที่กระทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

11. ออกแบบรอยต่อของโครงสร้างให้มีความแข็งแรงและสามารถถ่ายแรงได้อย่างต่อเนื่อง

เช่น ใช้การเชื่อมแบบเต็มความลึก ใช้แผ่นเหล็กเสริมกำลังที่รอยต่อ

 

12. ใช้ระบบการติดตั้งโครงสร้างสำเร็จรูปที่มีความแม่นยำสูง เช่น ระบบชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูป ระบบโครงเหล็กสำเร็จรูป

เพื่อลดระยะเวลาก่อสร้างและเพิ่มคุณภาพของงาน

 

13. ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจวัดการเคลื่อนตัวและการสั่นสะเทือนของอาคาร เช่น accelerometer, strain gauge

เพื่อเฝ้าระวังพฤติกรรมของอาคารตลอดอายุการใช้งานและสามารถแก้ไขปัญหาได้ทันการณ์

 

14. ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ทันสมัยในการวิเคราะห์และออกแบบโครงสร้าง เช่น finite element analysis (FEA)

เพื่อจำลองพฤติกรรมของโครงสร้างภายใต้แรงต่างๆ และช่วยให้การออกแบบมีประสิทธิภาพสูงสุด

 

15. ทำการทดสอบโครงสร้างในห้องปฏิบัติการหรือในสถานที่จริง เช่น การทดสอบแรงลม แรงแผ่นดินไหวด้วยโต๊ะสั่น

เพื่อตรวจสอบพฤติกรรมของโครงสร้างและยืนยันความปลอดภัยก่อนการใช้งานจริง

 

16. ใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างที่ล้ำสมัย เช่น การพิมพ์โครงสร้าง 3 มิติด้วยคอนกรีต การใช้หุ่นยนต์ก่อสร้าง

เพื่อเพิ่มความแม่นยำ ประหยัดเวลา และลดความเสี่ยงในการทำงานของแรงงาน

 

17. ทำการตรวจสอบและบำรุงรักษาโครงสร้างอย่างสม่ำเสมอตลอดอายุการใช้งานของอาคาร

โดยมีระบบการตรวจสอบ การซ่อมแซม และการเสริมความแข็งแรงตามความจำเป็น

 

18. เตรียมแผนรับมือเหตุฉุกเฉินสำหรับโครงสร้างอาคาร เช่น แผนอพยพ แผนซ่อมแซมเร่งด่วน

และมีการซักซ้อมแผนเป็นระยะๆ เพื่อให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้อย่างทันท่วงที

 

19. ใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยประหยัดพลังงาน เช่น วัสดุนำกลับมาใช้ใหม่ วัสดุฉนวนกันความร้อน

ในองค์ประกอบโครงสร้าง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

 

20. มีการประสานงานและสื่อสารที่ดีระหว่างทีมออกแบบ ทีมก่อสร้าง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดโครงการ

เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น มีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายของโครงการ

 

1. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการหุ้มคอนกรีต (concrete jacketing) โดยเพิ่มหน้าตัดคอนกรีตและเหล็กเสริมให้กับเสาและผนัง

วิธีนี้ช่วยเพิ่มกำลังรับแรงอัดและแรงดัดของโครงสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

2. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการติดแผ่นเหล็ก (steel plate bonding) โดยติดแผ่นเหล็กกับผิวคอนกรีตของเสาและผนัง

วิธีนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความเหนียวให้กับโครงสร้าง และสามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว

 

3. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการใช้วัสดุคอมโพสิต เช่น Fiber Reinforced Polymer (FRP) โดยติดแผ่น FRP กับผิวคอนกรีต

วิธีนี้ช่วยเพิ่มกำลังรับแรงดึงและแรงดัดให้กับโครงสร้าง และมีน้ำหนักเบา ติดตั้งง่าย

 

4. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการฉีดซีเมนต์ (shotcrete) โดยฉีดคอนกรีตผสมซีเมนต์กำลังสูงที่ผิวคอนกรีตเดิม

วิธีนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและซ่อมแซมรอยแตกร้าวของโครงสร้างได้ดี โดยเฉพาะในบริเวณที่เข้าถึงยาก

 

5. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการใช้แผ่นพื้นสำเร็จรูป (precast slab) โดยติดตั้งแผ่นพื้นสำเร็จรูปเสริมกำลังบนพื้นคอนกรีตเดิม

วิธีนี้ช่วยกระจายน้ำหนักบรรทุกและเพิ่มความแข็งแรงให้กับพื้นอาคาร และติดตั้งได้รวดเร็ว

 

6. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการเพิ่มกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็ก (reinforced concrete wall) โดยสร้างกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็กเพิ่มเติมเพื่อช่วยรับน้ำหนัก

วิธีนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและเสถียรภาพให้กับโครงสร้างอาคารโดยรวม

 

7. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการดึงลวด (post-tensioning) โดยดึงลวดเหล็กกำลังสูงผ่านท่อในคอนกรีตและใช้แรงดึงเพื่อเพิ่มกำลังรับแรงอัด

วิธีนี้ช่วยเพิ่มความสามารถในการรับน้ำหนักและลดการแอ่นตัวของโครงสร้างได้ดี

 

8. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการอัดแรงในแนวราบ (horizontal prestressing) โดยใช้แรงอัดในแนวราบกับเสาหรือผนังเพื่อเพิ่มกำลังรับแรงดัด

วิธีนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและลดการแอ่นตัวของโครงสร้างในแนวราบ

 

9. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการเสริมคาน (beam reinforcement) โดยเพิ่มคานคอนกรีตเสริมเหล็กหรือคานเหล็กรูปพรรณเพื่อช่วยรับน้ำหนัก

วิธีนี้ช่วยกระจายน้ำหนักและลดการแอ่นตัวของพื้นและผนัง และเพิ่มความแข็งแรงโดยรวม

 

10. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการเสริมฐานราก (foundation reinforcement) โดยขยายหรือเสริมฐานรากเดิมให้แข็งแรงขึ้น

วิธีนี้ช่วยเพิ่มเสถียรภาพและความสามารถในการรับน้ำหนักของอาคาร โดยเฉพาะเมื่อดินมีปัญหาการทรุดตัว

 

11. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการใช้วัสดุยึดติด (adhesive anchors) โดยฝังวัสดุยึดติดในคอนกรีตและยึดกับเหล็กเสริมหรือแผ่นเหล็ก

วิธีนี้ช่วยเพิ่มแรงยึดเหนี่ยวระหว่างคอนกรีตและวัสดุเสริมกำลัง ทำให้โครงสร้างแข็งแรงขึ้น

 

12. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการใช้ระบบแผ่นเสียบ (shear key system) โดยเสียบแผ่นเหล็กหรือคอนกรีตสำเร็จรูปเข้ากับเสาหรือผนังเพื่อเพิ่มกำลังต้านทานแรงเฉือน

วิธีนี้ช่วยป้องกันการวิบัติจากแรงเฉือนและเพิ่มความเหนียวให้กับโครงสร้าง

 

13. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการเปลี่ยนวัสดุ (material replacement) โดยเปลี่ยนคอนกรีตเดิมที่อ่อนแอให้เป็นคอนกรีตกำลังสูง

วิธีนี้ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานให้กับโครงสร้าง โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการเสื่อมสภาพหนัก

 

14. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการใช้ระบบป้องกันการกัดกร่อน (corrosion protection system) โดยติดตั้งระบบป้องกันสนิมให้กับเหล็กเสริมในคอนกรีต

วิธีนี้ช่วยยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างและลดความเสี่ยงจากการเสื่อมสภาพของเหล็กเสริม

 

15. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการใช้ไฟเบอร์คอนกรีต (fiber-reinforced concrete) โดยเสริมเส้นใยแก้วหรือเส้นใยสังเคราะห์ในคอนกรีตผสม

วิธีนี้ช่วยเพิ่มความเหนียว ลดการแตกร้าว และเพิ่มความทนทานให้กับโครงสร้าง

 

16. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการใช้โลหะผสม (metal alloys) โดยใช้โลหะผสมที่มีคุณสมบัติพิเศษในการซ่อมแซมหรือเสริมกำลังโครงสร้าง

วิธีนี้ช่วยให้โครงสร้างมีความแข็งแรง ทนทาน และต้านทานการกัดกร่อนได้ดีขึ้น

 

17. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการใช้ระบบควบคุมสภาพแวดล้อม (environment control system) โดยควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และสารเคมีที่มีผลต่อคอนกรีต

วิธีนี้ช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคอนกรีตและยืดอายุการใช้งานของโครงสร้างได้

 

18. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการใช้ปูนซีเมนต์พิเศษ (special cement) เช่น ปูนซีเมนต์กำลังสูง ปูนซีเมนต์ทนซัลเฟต ในการซ่อมแซมคอนกรีต

วิธีนี้ช่วยให้คอนกรีตที่ซ่อมแซมมีคุณสมบัติที่ดีขึ้น ทนทานต่อสภาพแวดล้อมและแรงกระทำได้ดีขึ้น

 

19. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการใช้ระบบป้องกันการสั่นสะเทือน (vibration damping system) โดยติดตั้งอุปกรณ์ดูดซับแรงสั่นสะเทือนในโครงสร้าง

วิธีนี้ช่วยลดผลกระทบจากแรงลมและแผ่นดินไหว ป้องกันความเสียหายต่อโครงสร้างและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้อาคาร

 

20. ใช้วิธีการเสริมกำลังด้วยการใช้เทคโนโลยีการซ่อมแซมขั้นสูง เช่น การใช้หุ่นยนต์ การใช้ปัญญาประดิษฐ์ในการวิเคราะห์และซ่อมแซมโครงสร้าง

วิธีนี้ช่วยให้การซ่อมแซมมีความแม่นยำ รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยลดความผิดพลาดและความเสี่ยงจากการทำงานของมนุษย์

 

การเลือกใช้วิธีการเสริมกำลังขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา ข้อจำกัดของอาคาร งบประมาณ และเทคโนโลยีที่มีอยู่ ควรปรึกษาวิศวกรผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินและเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับอาคารแต่ละแห่ง

 

 

 

 

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

 

 
 
 
ตึกใบหยก 2 เป็นตึกที่สูงที่สุดของไทยในปัจจุบัน

รายชื่ออาคารที่สูงที่สุดในประเทศไทย

 

 

รายชื่อ[แก้]

รายการนี้แสดงรายการอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 150 เมตร

ตัวหนา หมายถึงตึกที่เป็น หรือเคยเป็นตึกที่สูงที่สุดในไทย
อันดับที่ ชื่อ เขต/อำเภอ จังหวัด ความสูง[A]
โครงสร้างตึก (Architectural)
ความสูง
ปลายยอดสุดของตึก (To Tip)
จำนวนชั้น ปีที่สร้างเสร็จ
(พ.ศ. / ค.ศ.)
1 มหานคร (ตึกระฟ้า) บางรัก กรุงเทพฯ 313.4 เมตร (1,028 ฟุต) 313.4 เมตร (1,028 ฟุต) 77 2559 / 2016
2 ตึกใบหยก 2 ราชเทวี กรุงเทพฯ 304 เมตร (1,000 ฟุต) 328.4 เมตร (1,077 ฟุต) 85 2540 / 1997
3 เดอะ ริเวอร์ ทาวเวอร์ เอ[1] คลองสาน[2] กรุงเทพฯ 255.75 เมตร (839.1 ฟุต) 255.75 เมตร (839.1 ฟุต) 71 2555 / 2012
4 สเตท ทาวเวอร์ บางรัก กรุงเทพ 247.2 เมตร (810 ฟุต) 247.2 เมตร (810 ฟุต) 68 2544 / 2001
5 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ปทุมวัน กรุงเทพ 235 เมตร (770 ฟุต) 235 เมตร (770 ฟุต) 57 2551 / 2008
6 รีเฟล็คชั่น โอเชียนฟร้อนท์ ทาวเวอร์ เอ พัทยา ชลบุรี 234 เมตร (770 ฟุต) 234 เมตร (770 ฟุต) 54 2556 / 2013
7 เดอะเม็ท สาทร กรุงเทพฯ 230.6 เมตร (757 ฟุต) 230.6 เมตร (757 ฟุต) 69 2552 / 2009
8 เอ็มไพร์ทาวเวอร์ สาทร กรุงเทพฯ 226.8 เมตร (744 ฟุต) 226.8 เมตร (744 ฟุต) 62 2542 / 1999
9 จิวเวอร์รี่ เทรด เซ็นเตอร์ บางรัก กรุงเทพฯ 220.7 เมตร (720 ฟุต) 220.7 เมตร (720 ฟุต) 59 2539 / 1996
10 เดอะ พาโน ยานนาวา กรุงเทพฯ 219.12 เมตร (720 ฟุต) 219.12 เมตร (720 ฟุต) 57 2553 / 2010
11 อมันตา ลุมพินี[3] สาทร กรุงเทพฯ 212 เมตร (700 ฟุต) 212 เมตร (700 ฟุต) 61 2553 / 2010
12 ไชน่า รีซอร์สเซส ทาวเวอร์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 210 เมตร (690 ฟุต) 210 เมตร (690 ฟุต) 53 2545 / 2002
13 อาคารจัสมินอินเตอร์เนชั่นแนล ปากเกร็ด นนทบุรี 206 เมตร (680 ฟุต) 206 เมตร (680 ฟุต) 41 2540 / 1997
14= มิลเลนเนียม เรสซิเดนซ์ 3 คลองเตย กรุงเทพฯ 199.3 เมตร (650 ฟุต) 199.3 เมตร (650 ฟุต) 54 2552 / 2009
= มิลเลนเนียม เรสซิเดนซ์ 2 คลองเตย กรุงเทพฯ 199.3 เมตร (650 ฟุต) 199.3 เมตร (650 ฟุต) 54 2552 / 2009
16 ดิ ออฟฟิสเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 198.8 เมตร (650 ฟุต) 204 เมตร (670 ฟุต) 51[D] 2547 / 2004
17 เอ็ม สีลม   กรุงเทพฯ 198 เมตร (650 ฟุต) 198 เมตร (650 ฟุต) 53[D] 2558 / 2015
18 นอร์ท พอยต์ ทาวเวอร์ 1[3] พัทยา ชลบุรี 197.74 เมตร (648.8 ฟุต) 197.74 เมตร (648.8 ฟุต) 54 2553 / 2010
19 แกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยท์ ราชดำริ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 197 เมตร (650 ฟุต) 197 เมตร (650 ฟุต) 50 2550 / 2007
20 สินสาธร ทาวเวอร์ คลองสาน กรุงเทพฯ 195 เมตร (640 ฟุต) 195 เมตร (640 ฟุต) 43 2536 / 1993
21 ไทย วา ทาวเวอร์ 2 (โรงแรมบันยันทรี) สาทร กรุงเทพฯ 194 เมตร (640 ฟุต)[E] 194 เมตร (640 ฟุต) 60 2539 / 1996
22 โปรโตไทป์   กรุงเทพฯ 192.60 เมตร (630 ฟุต)[4] 192.60 เมตร (630 ฟุต) 52 2558 / 2015
23= มิลลิเนียม เรซิเดนซ์ 1 คลองเตย กรุงเทพฯ 192.3 เมตร (630 ฟุต) 192.3 เมตร (630 ฟุต) 51 2552 / 2009
= มิลลิเนียม เรซิเดนซ์ 4 คลองเตย กรุงเทพฯ 192.3 เมตร (630 ฟุต) 192.3 เมตร (630 ฟุต) 51 2552 / 2009
25 ไซเบอร์ เวิลด์ ทาวเวอร์ 1 ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 191 เมตร (630 ฟุต) 190 เมตร (620 ฟุต) 53[F] 2551 / 2008
26 วอเตอร์มาร์ค เจ้าพระยาทาวเวอร์ I คลองสาน กรุงเทพฯ 188.8 เมตร (620 ฟุต) 188.8 เมตร (620 ฟุต) 52 2551 / 2008
27 เอ็มไพร์ เพลซ สาทร กรุงเทพฯ 188 เมตร (620 ฟุต) 188 เมตร (620 ฟุต) 45 2551 / 2008
28 เดอะลุมพินี 24   กรุงเทพฯ 187.55 เมตร (620 ฟุต) [5] 187.55 เมตร (620 ฟุต) 46 2558 / 2015
29 ยูไนเต็ดเซ็นเตอร์ บางรัก กรุงเทพฯ 187 เมตร (610 ฟุต) 187 เมตร (610 ฟุต) 55 2538 / 1995
30 อับดุลราฮิม เพลส[6] บางรัก กรุงเทพฯ 187 เมตร (610 ฟุต) 187 เมตร (610 ฟุต) 34 2539 / 1996
31 คอลัมน์ ทาวเวอร์[3] คลองเตย กรุงเทพฯ 185 เมตร (610 ฟุต)   42 2549 / 2006
32 สาทรสแควร์ บางรัก กรุงเทพฯ 181.4 เมตร (600 ฟุต) 181.4 เมตร (600 ฟุต) 41 2554 / 2011
33 รีเฟล็คชั่น โอเชี่ยนวิว ทาวเวอร์ บี พัทยา ชลบุรี 180.2 เมตร (590 ฟุต)[C] 180.2 เมตร (590 ฟุต) 41 2556 / 2013
34 โรงแรม พัทยา ปาร์ค บีช รีสอร์ท พัทยา ชลบุรี 180 เมตร (590 ฟุต) 240 เมตร (790 ฟุต) 55 2538 / 1995
= อาคารทิปโก้ พญาไท กรุงเทพฯ 180 เมตร (590 ฟุต)   40[G] 2539 / 1996
= ชาญอิสสระ ทาวเวอร์ 2[3] ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 180 เมตร (590 ฟุต)   36 2536 / 1993
37 เทอร์มินัล 21 วัฒนา กรุงเทพฯ 177.4 เมตร (580 ฟุต) 177.4 เมตร (580 ฟุต) 30 2554 / 2011
= สำนักงานใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ราษฎร์บูรณะ กรุงเทพฯ 177 เมตร (580 ฟุต)[I] 218 เมตร (720 ฟุต) 42 2538 / 1995
39 เซนต์ รีจิสโฮเต็ล แอนด์ เรสซิเดนเซส[3] ปทุมวัน กรุงเทพฯ 175.50 เมตร (580 ฟุต) 175.50 เมตร (580 ฟุต) 46 2553 / 2010
40 เอ็กซ์เชนจ์ ทาวเวอร์ คลองเตย กรุงเทพฯ 175 เมตร (570 ฟุต)   46 [J] 2547 / 2004
= วิลลา ราชเทวี[3] ราชเทวี กรุงเทพฯ 175 เมตร (570 ฟุต)   46 2552 / 2009
= อิสสระ ลาดพร้าว[3] จตุจักร กรุงเทพฯ 175 เมตร (570 ฟุต)   51 2554 / 2011
= เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส[3] บางรัก กรุงเทพฯ 175 เมตร (570 ฟุต)   45 2550 / 2007
44 สาทรเฮาส์ บางรัก กรุงเทพฯ 174.2 เมตร (570 ฟุต) 174.2 เมตร (570 ฟุต) 50 2542 / 1999
45 หรรษาเรสซิเดนซ์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 173 เมตร (570 ฟุต) 173 เมตร (570 ฟุต) 43[K] 2554 / 2011
= จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เพลส[3] คลองเตย กรุงเทพฯ 170 เมตร (560 ฟุต)   43 2542 / 1999
= เดอะ เอ็มโพริโอ เพลส[3] คลองเตย กรุงเทพฯ 170 เมตร (560 ฟุต)   36 2552 / 2009
48 นอร์ท พอยต์ ทาวเวอร์ 2 พัทยา ชลบุรี 169.74 เมตร (560 ฟุต) 169.74 เมตร (560 ฟุต) 46 2553 / 2010
49 CETUS BEACHFRONT PATTAYA พัทยา ชลบุรี 168.75 เมตร (553.6 ฟุต)   46[L] 2558 / 2015
= คิว อโศก   กรุงเทพฯ 168.75 เมตร (553.6 ฟุต)[7] 168.75 เมตร (553.6 ฟุต) 41 2558 / 2015
51= โรงแรมเอ็มโพเรียม สวีท บาย ชาเทรียม คลองเตย กรุงเทพฯ 167 เมตร (550 ฟุต) 167 เมตร (550 ฟุต) 46[M] 2541 / 1998
= สมคิดทาวเวอร์ ปทุมวัน กรุงเทพฯ 167 เมตร (550 ฟุต) 167 เมตร (550 ฟุต) 35[N] 2550 / 2007
52= ไซเบอร์ เวิลด์ ทาวเวอร์ 2 ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 165 เมตร (540 ฟุต) 165 เมตร (540 ฟุต) 48 2551 / 2008
= อิตัลไทย ทาวเวอร์ ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 165 เมตร (540 ฟุต) 165 เมตร (540 ฟุต) 44 2540 / 1997
= เดอะ ออกัสตัน ทาวเวอร์ A คลองเตย กรุงเทพฯ 165 เมตร (540 ฟุต) 165 เมตร (540 ฟุต) 35 2553 / 2010
= ออกัสตัน บาร์เซโลนาทาวเวอร์[3] คลองเตย กรุงเทพฯ 165 เมตร (540 ฟุต)   35 2553 / 2010
56 อาร์เอส ทาวเวอร์ ดินแดง กรุงเทพฯ 164.9 เมตร (540 ฟุต) 164.9 เมตร (540 ฟุต) 41 2539 / 1996
57 เดอะ ฟูลเลอร์ตัน วัฒนา กรุงเทพฯ 162.6 เมตร (530 ฟุต)[O] 162.6 เมตร (530 ฟุต) 37 2549 / 2006
58 ไพน์ บาย แสนสิริ ราชเทวี กรุงเทพฯ 160.9 เมตร (530 ฟุต) 160.9 เมตร (530 ฟุต) 44 2555 / 2012
59 = วานิช ทาวเวอร์ 2 ราชเทวี กรุงเทพฯ 160 เมตร (520 ฟุต) 160 เมตร (520 ฟุต) 42 2537 / 1994
= อื้อจือเหลียง บางรัก กรุงเทพฯ 160 เมตร (520 ฟุต) 160 เมตร (520 ฟุต) 40 2541 / 1998
= สกุลไทยสุรวงศ์ทาวเวอร์[3] บางรัก กรุงเทพฯ 168 เมตร (550 ฟุต)   42 -
= สำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา[3] ยานนาวา กรุงเทพฯ 160 เมตร (520 ฟุต)   39 2539 / 1996
= โอเชียน ทาวเวอร์[3] วัฒนา กรุงเทพฯ 160 เมตร (520 ฟุต)   40 -
64 อาสนวิหารแห่งการเรียนรู้ บางเสาธง สมุทรปราการ 159 เมตร (520 ฟุต) 159 เมตร (520 ฟุต) 39 -
65= แกรนด์หลังสวนคอนโดมิเนียม ปทุมวัน กรุงเทพฯ 158 เมตร (520 ฟุต) 158 เมตร (520 ฟุต) 46 2541 / 1998
= คิว. หลังสวน ปทุมวัน กรุงเทพฯ 158 เมตร (520 ฟุต) 158 เมตร (520 ฟุต) 39 2553 / 2010
67= จัตุรัสจามจุรี ปทุมวัน กรุงเทพฯ 157 เมตร (520 ฟุต) 157 เมตร (520 ฟุต) 40 2551 / 2008
= อินเตอร์เชนจ์ 21 วัฒนา กรุงเทพฯ 157 เมตร (520 ฟุต) 165 เมตร (540 ฟุต) 34 2551 / 2008
69 เดอะ ริเวอร์ ทาวเวอร์ บี[8] คลองสาน[9] กรุงเทพฯ 156 เมตร (510 ฟุต)   41 2555 / 2012
70= ใบหยก 1 ราชเทวี กรุงเทพฯ 151 เมตร (500 ฟุต)   42 2530 / 1987
               
A ^ นับความสูง ณ จุดสูงสุดที่ยอดหลังคา (Roof Top) ของตัวตึกเป็นหลัก
ฺB ^ เดอะริเวอร์ ข้อมูลจากเว็บไซต์ skyscraperpage.com ระบุว่าสูง 265.6 เมตร 73 ชั้น [3]
ฺC ^ สเตท ทาวเวอร์ ข้อมูลจากเว็บไซต์ skyscraperpage.com ระบุว่ามีจำนวนชั้นทั้งสิ้น 63 ชั้น[3]


"สถาบันที่เชื่อถือได้" หมายความว่า ส่วนราชการ หรือนิติบุคคลซึ่งมีวิศวกร ประเภท วุฒิวิศวกร สาขาวิศวกรรมโยธาตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพวิศวกรรมเป็นผู้ให้คำแนะนำปรึกษา และลงลายมือชื่อรับรองผลการตรวจสอบงานวิศวกรรมควบคุม



ชื่อ
เบอร์โทรศัพท์
อีเมล
หัวข้อ
รายละเอียด