ออกแบบโรงงาน
ReadyPlanet.com
bullet กฎกระทรวง กําหนดลักษณะอาคารประเภทอื่นที่ใช้ประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. ๒๕๕๙
dot
Group Menu
dot
bulletวุฒิวิศวกรออกแบบโครงสร้าง
dot
Newsletter

dot
bulletโครงการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม
bulletวิศวกร งานโลหะ และ เหล็ก
bulletสารพัดปัญหาของวิศวกรโยธา ก่อสร้าง
bulletรับรองความมั่นคงอาคาร โรงเรียนกวดวิชา วุฒิวิศวกร
bulletคณภาพของ วิศวกร
bulletไฟไหม้ กับ งาน วิศวกร โยธา
bulletPower Plant Job กับ งาน วิศวกร
bulletวิศวกรโยธา กับ ตลาด รับสร้าง บ้านชิ้นส่วนสำเร็จรูป
bulletวิศวกร กำหนด มาตราฐาน ออกแบบ แผนผังโรงงาน
bulletวิศวกร กับ การเลือกทำเล ที่ตั้งโรงงาน
bulletขอบเขตงานที่วิศวกร ระดับต่างๆ ทำได้ แก้ไขใหม่
bulletมาตรฐานกําหนดตําแหน่งสายงาน วิศวกรรมโยธา
bulletน้ำ และ สารผสม คอนกรีต
bulletgooglebc0321ea4a8e3495.html




วิศวกร กำหนด มาตราฐาน ออกแบบ แผนผังโรงงาน

บริการให้คำปรึกษา ตรวจ รับรอง เขียนแบบ เซ็นแบบ แผนผังการติดตั้งเครื่องจักรโรงงาน (Plant Lay - Out) แบบแปลนรายการเครื่องจักร งานตรวจรับรองกำลังเครื่องจักรในโรงงาน เพื่อขออนุญาตตั้งโรงงาน ขอต่ออายุ ขอปรับปรุงกำลังเครื่องจักรขยายกิจการโรงงาน เพื่อยื่นเอกสารต่อ กนอ. (กนอ. 03/1) และ กรอ.(รง.3)

รับออกแบบ โรงงาน

รับรองรายการคำนวณ

วิเคราะห์แรงแผ่นดินไหว

ตรวจสอบรับรองการก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือ

เคลื่อนย้ายอาคาร หรือ ทดสอบการรับน้ำหนักพื้น

บริการ ตรวจสอบและรับรองการจัดการพลังงาน สำหรับโรงงานควบคุม และอาคารควบคุม

แก้ไขปัญหาอาคาร โดย วุฒิวิศวกร

ปรึกษา ได้ที่ อีเมลย์ wbk123@gmail.com  หรือ LineID: 4Wee 

โทร 0812974848

 บริษัท 4 ดับบลิว ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ทีมงาน วุฒิวิศวกร ไฟฟ้า วุฒิวิศวกร เครื่องกล วุฒิสถาปนิก วุฒิวิศวกร อุตสาหการ นำโดย วุฒิวิศวกรโยธา

 

มาตรฐานในการออกแบบแผนผังโรงงานที่ดี ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ดังนี้

 

1. เส้นทางการไหลของวัตถุดิบและสินค้า (Flow of materials and products) 

ควรออกแบบให้เส้นทางการเคลื่อนย้ายวัตถุดิบและสินค้าเป็นเส้นตรง ไม่วกวน มีระยะทางสั้นที่สุด เพื่อประหยัดเวลาและพลังงาน

 

2. การใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (Space utilization)

วางผังโรงงานให้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า แบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดส่วน เหมาะสมกับหน้าที่ เช่น พื้นที่ผลิต คลังสินค้า สำนักงาน ฯลฯ 

 

3. ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน (Safety and working environment)

คำนึงถึงความปลอดภัยของพนักงานเป็นสำคัญ มีทางหนีไฟ อุปกรณ์ความปลอดภัย ไม่วางผังในจุดอับ มีการระบายอากาศและแสงสว่างที่ดี 

 

4. ประสิทธิภาพในการสื่อสาร (Communication efficiency)

จัดสถานีงานให้มีระยะใกล้กัน เพื่อให้ติดต่อสื่อสารสะดวก ไม่ควรมีเครื่องจักรขวางกั้น ทำให้มองเห็นและสังเกตการทำงานของกันและกันได้

 

5. ความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ (Flexibility and expansion)

ควรออกแบบให้สามารถขยายหรือปรับเปลี่ยนแผนผังได้ในอนาคต เผื่อไว้กรณีต้องขยายกำลังการผลิตหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน

 

6. ความสะดวกต่อการบำรุงรักษา (Ease of maintenance)

การวางผังควรเผื่อพื้นที่สำหรับงานซ่อมบำรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ ให้สามารถเข้าถึงเครื่องจักรได้ง่าย ถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนสะดวก

 

7. ประสิทธิภาพโดยรวมและความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ (Overall efficiency and cost effectiveness)

แผนผังโรงงานต้องทำให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงาน ประหยัดต้นทุน ลดความสูญเสียจากการทำงาน ให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

 

 

การออกแบบแผนผังโรงงานที่ดี จะช่วยเพิ่มผลผลิต ประหยัดเวลาและต้นทุน พนักงานทำงานสะดวก ปลอดภัย รวมถึงสามารถปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต ซึ่งนำไปสู่ความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน

 

หากมีพื้นที่จำกัดสำหรับบริเวณก่อสร้างในโรงงาน สามารถทำตามแนวทางต่อไปนี้เพื่อให้การทำงานราบรื่นและปลอดภัย

 

1. วางแผนผังบริเวณก่อสร้างอย่างรอบคอบ

ใช้พื้นที่ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แบ่งสัดส่วนให้ชัดเจนสำหรับพื้นที่ปฏิบัติงาน จัดเก็บวัสดุ ทางเดินรถและคน รวมถึงพื้นที่พักคนงาน

 

2. จัดระเบียบและทำความสะอาดพื้นที่

จัดเก็บวัสดุอุปกรณ์อย่างเป็นระเบียบ ทำเครื่องหมายทางเดินชัดเจน ทิ้งขยะและเศษวัสดุในจุดที่กำหนด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากความไม่เป็นระเบียบ

 

3. ใช้เทคนิคการจัดการวัสดุอย่างมีประสิทธิภาพ 

พิจารณาจัดส่งและจัดเก็บวัสดุแบบ Just-in-time มีแผนลำดับการใช้วัสดุ ไม่ให้สต็อกมากเกินจนแออัด หรืออาจสร้างพื้นที่สำหรับเก็บวัสดุเป็นสัดส่วนแยก

 

4. กำหนดขอบเขตและป้ายสัญลักษณ์ความปลอดภัย

ติดป้ายสัญลักษณ์ความปลอดภัยและกั้นเขต เพื่อแบ่งแยกส่วนที่เป็นอันตราย กำหนดจุดทางเข้าออกและทางหนีไฟให้ชัดเจนตลอดเวลา

 

5. ประสานงานและวางแผนล่วงหน้ากับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง

หารือร่วมกันระหว่างฝ่ายก่อสร้างกับฝ่ายผลิต เพื่อกำหนดตารางเวลาและผลกระทบจากงานก่อสร้าง กำหนดมาตรการรองรับเพื่อไม่ให้กระทบการผลิตมากนัก

 

6. ใช้อุปกรณ์ทุ่นแรงและเพิ่มประสิทธิภาพที่เหมาะสม

เลือกใช้เครื่องจักรที่มีขนาดกะทัดรัด เคลื่อนย้ายสะดวกในพื้นที่แคบ เช่น เครนขนาดเล็ก รถฟอร์คลิฟต์ไฟฟ้า ฯลฯ เพื่อให้งานก่อสร้างเสร็จเร็วขึ้น

 

7. เน้นการสื่อสารและการทำงานเป็นทีม

จัดประชุมชี้แจงแผนงานและข้อควรระวังต่างๆให้พนักงานรับทราบอยู่เสมอ กระตุ้นให้ทุกฝ่ายร่วมมือ ช่วยเหลือกัน แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างราบรื่น

 

การจัดการบริเวณก่อสร้างในพื้นที่จำกัดนั้นท้าทาย แต่สามารถทำได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ หากมีการวางแผนที่ดี ทำงานอย่างเป็นระบบ และประสานงานกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

 

ในกรณีที่มีทั้งพื้นที่จำกัดและงบประมาณน้อยสำหรับงานก่อสร้างในโรงงาน ต้องพิจารณาหาแนวทางที่ประหยัดและใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ดังนี้

 

1. กำหนดความต้องการและจัดลำดับความสำคัญของงาน

วิเคราะห์ว่าส่วนใดจำเป็นต้องสร้างหรือปรับปรุงก่อน เลือกทำเฉพาะงานที่สำคัญและจำเป็นจริงๆ ชะลองานที่ไม่เร่งด่วนออกไปก่อน

 

2. ใช้วัสดุราคาประหยัดแต่มีคุณภาพ

เลือกใช้วัสดุท้องถิ่นหรือวัสดุทดแทนที่มีราคาถูกกว่า แต่ยังคงได้มาตรฐาน อาจลดต้นทุนลงได้มาก เช่น ใช้พื้นคอนกรีตขัดมันแทนกระเบื้อง เป็นต้น

 

3. ออกแบบอาคารให้เรียบง่าย ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้สูง

เลือกแบบอาคารที่ก่อสร้างได้เร็ว ไม่ซับซ้อน หลีกเลี่ยงรูปทรงหรือรายละเอียดที่เพิ่มต้นทุนโดยไม่จำเป็น ออกแบบให้ปรับเปลี่ยนการใช้พื้นที่ได้ตามความต้องการในอนาคต

 

4. ใช้แรงงานและเครื่องมือที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า

พิจารณาความสามารถของแรงงานที่มีอยู่ ฝึกฝนเพิ่มทักษะหากจำเป็น หากต้องจ้างผู้รับเหมา เลือกรายที่มีราคาเหมาะสม มีประสบการณ์สูง บริหารจัดการงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

5. ควบคุมงานก่อสร้างและการเบิกจ่ายวัสดุอย่างเข้มงวด

ตรวจสอบงานก่อสร้างเป็นระยะ ให้เป็นไปตามแบบและข้อกำหนด ควบคุมการใช้วัสดุไม่ให้มากเกินความจำเป็น จัดทำบัญชีควบคุมการเบิกจ่ายวัสดุอย่างเคร่งครัด

 

6. มีแผนรองรับความเสี่ยงหรือความล่าช้า

เตรียมแผนสำรองกรณีเกิดปัญหาระหว่างก่อสร้าง เช่น ฝนตกหนัก วัสดุขาดตลาด เป็นต้น ควรมีงบประมาณส่วนเพิ่มเล็กน้อย เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

 

7. สื่อสารและขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง  

ประสานงานกับผู้บริหาร ฝ่ายผลิต และบุคลากรต่างๆ ในโรงงาน เพื่อขอความเห็นและการสนับสนุนโครงการ อาจขอแรงงานบางส่วนจากพนักงานมาช่วยเป็นครั้งคราว

 

การก่อสร้างภายใต้ข้อจำกัดด้านพื้นที่และงบประมาณนั้นเป็นความท้าทายอย่างมาก แต่หากมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ก็สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ตามเป้าหมาย โดยอาศัยการวางแผนที่รอบคอบ การเลือกใช้ทรัพยากรที่เหมาะสม และความร่วมมือกันระหว่างทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ที่มา จาก วิศวกรรมสาร ปีที่ 61 ฉบับที่ 6

โดยคุณ วีรวัชร์ แก้วเพ็ญศรี วิศวกร ระดับ 8 กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม

ที่ปรึกษาคณะกรรมการสาขาวิศวกรรมอุตสาหการ(วสท.)

งานในหน้าที่ สามัญวิศวกร หรือ วุฒิวิศวกร อุตสาหการ

ขั้นที่ 1 วิศวกร ผู้ออกแบบ จะต้องมีองค์ความรู้ในระดับชั้นของกฎหมาย นิยามของคำ, ข้อความ, และทราบข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญๆ เท่าที่จำเป็น

ขั้นที่ 2 วิศวกร ผู้ออกแบบจะต้องไปตรวจสอบทำเล หรือ สถานที่ก่อสร้าง หรือโรงงาน (ที่จะตั้ง หรือ ขยายโรงงาน หรือ ที่จะเปลี่ยนแปลงแบบโรงงาน Master Plan หรือ M/C Layout ที่ผิดไปจากที่เคยได้รับอนุญาตไว้) ว่าขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการผังเมือง, กฎหมายว่าด้วยโรงงาน กฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย หรือ กฎหมายที่เกี่ยวขอ้ง อย่างไร หรือ ไม่

ขั้นที่ 3 วิศวกร ผู้ออกแบบ จะต้องทราบ ข้อกำหนดต่างๆ ตามกฎหระทรวง ฉบับที่ 2 (2535), ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม (เรื่อง การร่นระยะทางระหว่างโรงงาน กับ เขตติดต่อ สาธารณสถาน พ.ศ. 2544 ) และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมที่ออกตาม พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2512 (ที่ยังมีผลบังคับอยู่)

 ขั้นที่ 4 วิศวกร ผู้ออกแบบ จะต้องจัดทำแผนภูมิขบวนการผลิต Manufacturing Process หรือ แผนภูมิ ขบวนการให้บริการ (เช่น โรงงานอู่ซ่อมรถ)

ขั้นที่ 5 วิศวกร ผู้ออกแบบ จะต้องคำนวณออกแบบ จัดทำแผนผังรวม แสดงอาคาร และ บริเวณ โรงงาน (Master Plan)

 ขั้นที่ 6 วิศวกร ผู้ออกแบบ จะต้องคำนวณ ประเมินกำลังแรงม้า เครื่องจักต่างๆ ที่จะติดตั้ง ใช้งานในกระบวนการผลิตของโรงงาน และจัดทำบัญชีรายการเครื่องจักร (M/C List) ของโรงงาน

 ขั้นที่ 7 วิศวกร ผู้ออกแบบ จะต้องคำนวณ ออกแบบ จัดทำแผนผัง แสดงการติดตั้งเครื่องจักร (M/C Layout)

ขั้นที่ 8 วิศวกรผู้ออกแบบ จะต้องจัดทำแบบ แสดงภาพด้านหน้า และด้านข้าง ของ อาคาร( เพื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ที่จะพิจารณาอนุญาติ จะได้ทราบขนาด ความสูงของ อาคารโรงงาน)

 ขั้นที่ 9 วิศวกร ผู้ออกแบบ จะต้อบงคำนวณ ออกแบบ จะต้องตรวจสอบความครบถ้วนถูกต้องสมบูรณ์ของ เอกสาร สำคัญๆ ต่าง อาทิ เช่น Manufacturing Process, Master Plan, M/C Layout, Horsepower Appraisl, M/c List และแบบแสดง ด้านหน้า - ด้านข้าง ของอาคาร (Front View and Side View )เป็นต้น

ขั้นที่ 10 วิศวกร ผู้ออกแบบ จะต้องจัดทำหนังสือรับรอง ที่แสดงว่า ได้ปฎิบัติงาน ออกแบบ แผนผัง โรงงาน (Plant Layout Design) ให้กับโรงานชื่ออะไร ใครเป็นเจ้าของโครงการ ตั้งอยู่ที่ไหน (ระบุด้วยว่า เป็นงานตั้งโรงาน หรือ ขยายโรงงาน เป็นต้น) ให้เจ้าของโครงการเซ็นชื่อ ร่วมกับ วิศวกรผู้ออกแบบ ในหนังสือรับรอง ที่จัดทำขึ้นนี้ด้วย

 

หมายเหตุ ให้ วิศวกร ผู้ออกแบบจะต้อง แนบ สำเนาบัตร สมาชิก สภาวิศวกร และสำเนาใบอนุญาต เป็นผู้ประกอบวิชาชิพ วิศวกรรมควบคุมกำกับหนังสือรับรองที่ได้จัดทำขึ้นนี้ด้วย

จาก บล็อกไดอะแกรม 10 ลำดับขั้นตอน ดังกล่าวแล้วข้างต้น สามารถอธิบายขยายความแต่ละขั้นตอน พอสังเขป เพื่อที่ สามัญ หรือ วุฒิวิศวกร สาขา วิศวกรรม อุตสาหการ จะได้นำไปประยุกต์ ใช้ในการออกแบบ แผนผัง โรงงาน ภาคปฎิบัติการ ( ตามที่มาตรฐานขั้นต่ำ ของกฎหมาย ว่าด้วยโรงงาน และ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ได้กำหนดเอาไว้) ได้ดังต่อไปนี้

 

ขั้นตอนที่ 1

 

จะต้องมีองค์ความรู้เกี่ยวกับ ระดับชั้นของ กฎหมาย นำยามของคำ ข้อความ และ ข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ ๆ ( ของโครงการที่จะตั้ง หรือ ขยายโรงงาน เป็นต้น) เท่าที่จำเป็น (เพื่อที่จะได้นำเอา องค์ความรู้ดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับงานออกแบบแผนผังโรงงาน ได้เป็นอย่างดี) ก่อนที่จะเริ่มปฎิบัติ งานออกแบบแผนผังโรงงาน ดังต่อไปนี้

          สาขาวิชาชีพ วิศวกรรมควบคุม 7 สาขา หมายถึง สาขา วิศวกรรมอุตสาหการ

                                                                                       สาขา วิศวกรรมเครื่องกล

                                                                                       สาขา วิศวกรรม โยธา

                                                                                       สาขา วิศวกรรมเหมืองแร่

                                                                                       สาขา วิศวกรรมไฟฟ้า

                                                                                       สาขา วิศวกรรมสิ่งแวดล้อม

                                                                                       สาขา วิศวกรรมเคมี

        มาตราฐาน หมายถึง ข้อบังคับ ( Regulations) ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่อง .ความปลอดภัย - สุขอนามัย สิ่งแวดล้อม, ที่กฎหมายว่าด้วย โรงงาน และ กฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้บัญญัติเป็น

        มาตราฐาน ขั้นต่ำเอาไว้ ( โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา)

        แบบแผนผังโรงงาน หมายถึง แบบแผนผังรวมอาคาร และ บริเวณโรงงาน ( Master Plan ) ,แบบแสดงการติดตั้งเครื่องจักร ( Machine Layout ), แบบแสดงรูปภาพ ด้านหน้า-ด้านข้าง

         ของอาคารโรงงาน (Front and Side View) ที่ได้จาก การจัดทำขี้นมาโดย วิศวกร ผู้ออกแบบ

         คู่มือมาตราฐาน เพื่อความปลอดภัยในงาน ออกแบบแผนผังโรงงาน หมายถึง การปฎิบัติงานออกแบบแผนผังโรงงาน เป็นไปอย่างมีระบบได้มาตรฐาน (ตามข้อกำหนดของ กฎหมาย         ว่า        ด้วยโรงงาน และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง) ซึ่งจะก่อให้เกิดความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบโรงงาน และหากผู้ประกอบการปฎิบัติตามขั้นตอนการออกแบบแผนผัง    โรงงานอย่างเคร่งครัดแล้ว การประกอบกิจการโรงงานก็จะเกิดความปลอดภัย เป็นไปในแบบยั่งยืนอีกด้วย

         งานในอาชีพ วิศวกรรมควบคุม แต่ละสาขา หมายถึง

                              1. งานให้คำปรึกษา หมายถึง การให้ข้อแนะนำ การตรวจวินิจฉัย หรือ การตรวจรับรองงาน

                              2. งานวางโครงการ หมายถึง การศึกษา การวิเคราะห์หาทางเลือกที่เหมาะสม หรือ การวางแผนของโครงการ

                              3. งานออกแบบและคำนวณ หมายถึง การใช้หลักวิชา และ ความชำนาญ เพื่อให้ได้มาซึ่งรายละเอียดในการก่อสร้าง การสร้าง การผลิต หรือ การวางผังโรงงานและเครื่องจัก โดยมี รายการคำนวณ แสดงเป็นรูปแบบ ข้อกำหนด หรือ ประมาณการ

                              4. งานควบคุมการสร้างหรือการผลิต หมายถึง การอำนวยการการควบคุม หรือ การควบคุมเกี่ยวกับการก่อสร้าง การสร้าง การผลิต การรื้อถอนงาน หรือ การเคลื่อนย้ายงานให้เป็นไปโดยถูกต้องตามรูปแบบ และข้อกำหนดของหลักวิชาชีพวิศวกรรม

                              5. งานพิจารณาตรวจสอบ หมายถึง การค้นคว้า การวิเคราะห์ การทดสอบ การหาข้อมูล และ สถิติต่างๆ เพื่อใช้เป็นหลักเกณฑ์ หรือ ประกอบการตรวจสอบวินิจฉัยงาน หรือในการสอบทาน

                              6. งานอำนวยการใช้ หมายถึง การอำนวยการดูแลการใช้ การบำรุงรักษางาน ทั้งที่เป็นชิ้นงาน หรือระบบ ให้เป็นไปโดยถูกต้องตามรูปแบบ และข้อกำหนด ของหลักวิชาชีพ วิศวกรรม

          กรรมวิธีการผลิต ( Manufacturing Process) หมายถึง กระบวนการผลิต หรือ กระบวนการให้บริการของ โรงงานตามลำดับประเภทในบัญชีท้ายกฎหระทรวงตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน (ซึ่งจะแสดงรายละเอียดเป็นลำดับขั้นตอน อาจเป็น บล็อกไดอะแกรมตั้งแต่เริ่มนำวัตถุดิบ ( Raw Materials ) เข้ากระบวนการผลิตไปจนถึงผลิตได้สินค้า ( Products) หรือ สิ้นสุดกระบวนการให้บริการ แล้วแต่ประเภทโรงงาน ตามกฎหมายว่าด้วย โรงงาน และจะต้องแสดงขั้นตอน การก่อให้เกิดของเสีย (น้ำเสีย หรือ อากาศเสีย หรือมลพิษเสียง หรือ กากอุตสาหกรรม เป็นต้น) รวมทั้งการเขียน บล็กอคไดอะแกรมของระบบบำบัดของเสียดังกล่าวเอาไว้ในกระบวนการผลิตด้วย (ดูผังได้ในขั้นตอนที่ 4)

          เครื่องหมายและสีเพื่อความปลอดภัย ให้เป็นไปตามมาตรฐาน มอก.635 เล่ม 1-2529 และตามมาตรฐานสากล อาทิเช่น ANSI 13.1-1981 เป็นต้น

          ทำเลที่ตั้ง โรงงาน หมายถึง พื้นที่ที่ จะตั้ง โรงงาน (จะต้องไม่ขัดกับกฎหมายว่า ด้วยการผังเมือง) และการที่จะตั้ง หรือ ขยาย โรงงาน ในลำดับประเภทใดนั้น จะต้องดูบัญชีแนบท้าย กฎหมาย ว่าด้วยการผังเมืองของจังหวัดนั้น ๆ ด้วย

           โรงงาน หมายความว่า อาคาร สถานที่ หรือ ยานพาหนะที่ใช้เครื่องจักร มีกำลังรวม ตั้งแต่ ห้าแรงม้า หรือ กำลังเทียบเท่าตั้งแต่ ห้าแรงม้าขึ้นไป หรือใช้คนงานตั้งแต่ เจ็ดคนขึ้นไป โดยจะใช้เครื่องจักรหรือไม่ก็ตาม สำหรับทำ ผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อม ซ่อมบำรุง ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ ลำเลียง เก็บรักษา หรือทำลายสิ่งใดๆ ทั้งนี้ตาม ลำดับประเภท หรือ ชนิดของโรงงานที่กำหนดในกฎกระทรวง (ปัจจุบันมี 107 ลำดับ)

           รายงานการ วิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ( EIA ) หมายถึง ลำดับประเภท ของ โรงงานตามกฎหมาย ว่าด้วยโรงงาน และ กฎหมายว่าด้วยสิ่งแวดล้อมที่เจ้าของโครงการ ไม่ว่าจะขอรับใบอนุญาต ตั้ง หรือ ขยายโรงงาน (ในประเภท ที่กฎหมายได้กำหนดเอาไว้) จะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ ผลกกระทบสิ่งแวดล้อมเสนอ และได้รับการอนุมัติ จาก หน่วยราชกรที่เกี่ยวข้องเสียก่อน จึงจะยื่นคำขอรับใบอนุญาตตั้ง หรือ ใบอนุญาตขยายโรงงานกับหน่วยงานที่สังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ( กรโรงงานอุสาหกรรม หรือ สำนักงาน อุตสาหกรรมจังหวัดต่าง ๆ หรือ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) ได้

           รายงานการ วิเคราะห์ความเสี่ยง จากอันตรายที่ อาจเกิดขึ้นได้จาก การประกอบกิจการโรงงาน ( Risk Assessment Report ) หมายถึง ลำดับประเภทโรงงาน 12 รายการ ท่ีถูกกำหนดไว้ในกฎหมาย ว่าด้วยโรงงาน จะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ความเสี่ยง ฯ เพื่อยื่นพร้อมกับการขอรับใบอนุญาตตั้ง ขยาย และต่ออายุโรงงานอุตสาหกรรม

           อาคาร หมายถึง อาคารตามกฎหมายว่าด้วย ควบคุมอาคาร (ตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร ฉบับที่ 2 พ.ศ.2535 และ ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 ) และมีลักษณะต่าง ๆ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานด้วย

           สถานที่ หมายถึง บริเวณพื้นที่ดินว่าบงเปล่า หรือ พื้นที่ดินที่มีอาคารปลูกสร้างอยู่ด้วยก็ได้

           ยานพาหนะ หมายถึง ยานพาหนะต่าง ๆ เช่น รถ เรือ ฯลฯ ตัวอย่าง รถโฟล์คลิฟท์ ( สำหรับขนถ่ายวัสดุในขยวนการผลิต), เรือติดตั้งเครื่องสูบ ( Pump ) สำหรับดูดทราย หรือ รถลำเลียงท่ีใช้ในขบวนการผลิตของโรงงาน เป็นต้น

           เครื่องจักร หมายถึง สิ่งที่ประกอบด้วยชิ้นส่วน หลายชิ้นสำหรับใช้ก่อกำเนิดพลังงาน เปลี่ยน หรือ แปลงสภาพพลังงาน หรือส่งพลังงาน ทั้งนี้ด้วย กำลังน้ำ ไอน้ำ ลม ก๊าซ ไฟฟ้า หรือ พลังงานอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งหรอหลายอย่างรวมกัน และหมายความรวมถึงเครื่องอุปกรณ์ไฟวีล ปุลเล สายพาน เพลา เกียร์ หรือสิ่งอื่นที่ทำงานสนองกัน

            แรงม้าเครื่องจักร หมายถึง แรงม้าของ มอเตอร์ไฟฟ้าขับเครื่องจักร หรือ แรงม้าของเครื่องจักรต้นกำลัง อาจจะเป็นแรงม้าเพลา ( HP) หรือ แรงม้าเปรียบเทียบ (ให้ใช้สูตรประเมินแรงม้าเครื่องจักร ตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

            คนงาน หมายถึง จำนวนคนงานที่ปฎิบัติงานอยู่ในโรงงาน (มีจำนวนตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป)

            เงินลงทุน หมายถึง จำนวนเงินลงทุนที่ใช้ในโครงการ (ตั้ง หรือขยาย โรงงาน) มีจำนวนตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป (โดยไม่รวมค่าที่ดิน)

            ตั้งโรงงาน หมายความว่า " การก่อสร้างอาคาร เพื่อติดตั้งเครื่องจักร สำหรับประกอบกิจการโรงงาน หรือ นำเครื่องจักรสำหรับประกอบกิจการงโรงงานมาติดตั้งใน อาคาร สถานที่ หรือ ยานพาหนะที่จะประก่อบกิจการ "

            ประกอบกิจการโรงงาน หมายความว่า การทำผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อม ซ่อมบำรุง ทดสอบ ปรับปรุง แปรสภาพ ลำเลียง เก็บรักษา หรือ ทำลาย สิ่งใดๆ ตามลักษณะกิจการโรงงาน แต่ไม่ใช่การทดลองเดินเครื่องจักร

             ผู้อนุญาต หมายความว่า ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ ผู้ซึ่งปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบหมาย เช่น อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือ อตุสาหกรรมจังหวัด (ต่าง ๆ ทั้งประเทศ) หรือ ผู้ว่าการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น

             ใบอนุญาต หมายถึง ใบอนุญาตประกอบกิจการ โรงงานจำพวกที่ 3 ( ตั้ง, ขยาย, ต่ออายุ) เป็นต้น

              พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ปฎิบัติการตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน เช่น วิศวกร หรือ เจ้าหน้าที่ตรวจโรงงาน ของ กรมโรงงานฯ หรือของ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด ฯลฯ

              โรงงาน 3 จำพวก หมายถึง โรงงาน จำพวกที่ 1 หรือ โรงงาน จำพวกที่ 2 หรือ โรงงาน จำพวกที่ 3 ตามที่กฎหมายว่าด้วยโรงงานบัญญัติเอาไว้ ( ซึ่งทั้ง 3 จำพวกแบ่งกันโดยคำนึงถึง ความจำเป็นในการควบคุม และ การป้องกันเหตุเดือดร้อน รำคาญ การป้องกันความเสียหาย และการป้องกันอันตราย ตามระดับความรุนแรง ของผลกระทบที่จะมีต่อ ประชาชน หรือ สิ่งแวดล้อม รวมถึง ความแตกต่างของแรงม้าเครื่องจัก และ ความแตกต่างของจำนวนคนงานด้วย)

ขั้นตอนที่ 2

การตรวจสอบทำเลที่ตั้งจริงเพื่อตรวจสอบพื้นที่ที่จะตั้ง โรงงาน หรือ ขยายโรงงาน เป็นต้น (ว่า ขัดกับ กฎหมายว่าด้วยการผังเมือง และ กฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่)

ขั้นตอนที่ 3

จะต้องทราบข้อกำหนดต่าง ๆ ในกฎกระทรวงฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) ที่ออกตาม พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535, ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ( เรื่องให้ร่น หรือ ไม่ใช้ บังคับเกี่ยวกับ ระยะทาระหว่างโรงงาน และเขตติดต่อ สาธารณสถาน พ.ศ. 2544 ที่ออกตาม พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 และประกาศกระทรวง อุตสาหกรรม ที่ออกตาม พ.ร.บ. 2512 (ที่ยังมีผลบังคับอยู่) ซึ่ง ได้มีข้อบังคับต่าง ๆ ( Regulations) เกี่ยวกับโรงงานจำพวกที่ 1, 2 และ 3 ในเรื่องต่างๆ ดังนี้

เรื่องที่ตั้ง และ สภาพแวดล้อม

3.1 ห้ามตั้ง โรงงานจำพวกที่ 1 และ จำพวกที่ 2 ในบริเวณ บ้านจัดสรรเพื่อการพักอาศัย อาคารชุดพักอาศัย บ้านแถวเพื่อการ  พักอาศัย, ภายในระยะ = ศูนย์เมตร (เดิม 50 เมตร) จากเขตติดต่อสาธารณสถาน โรงเรียน, สถาบัน การศึกษา, วัด หรือ ศาสนสถาน, โรงพยาบาล, โบราณสถาน, สถานที่ทำการงานของรัฐ และแหล่งอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด

 3.2 ห้ามตั้ง โรงงานจำพวกที่ 3 ในบริเวณ บ้านจัดสรรเพื่อการพักอาศัย อาคารชุดพักอาศัย บ้านแถวเพื่อการ  พักอาศัย, ภายในระยะ  100 เมตร หรือ 50 เมตร หรือ 10 เมตร จากเขตติดต่อสาธารณสถาน ฯลฯ

3.3 โรงงานจำพวกที่ 1 จำพวกที่ 2 และ จำพวกที่ 3 จะต้องอยู่ในทำเลที่ไม่ขัดกฎหมายว่าด้วย การผังเมือง, กฎหมายว่าด้วยสิ่งแวดล้อม และ กฎหมายว่าด้วยโรงงาน (ที่กำหนดให้ตั้ง หรือ ไม่ให้ตั้งโรงงานลำดับประเภทใด ๆ)

3.4 นอกจากนี้  โรงงานจำพวกที่ 3 ยังจะต้องตั้งอยู่ในทำเลและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม มีเบริเวณเพีงพอที่จะประกอบกิจการอุตสาหกรรม ตามขนาดและ ประเภท หรือ ชนิดของโรงงาน โดยไม่อาจก่อให้เกิดอันตราย เหตุรำคาญ หรือ ความเสียหาย ต่อบุคคล หรือ ทรัพย์สินของผู้อื่น ด้วย 

เรื่อง ลักษณะอาคารโรงงาน และ ลักษณะภายในอาคารโรงงาน ต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้

3.5 มั่นคงแข็งแรง เหมาะสม และมีบรืเวณเพียงพอที่จะประกอบ กิจการอุตสาหกรรม นั้นๆ โดยมีคำรับรองขอ วิศวกร ผู้ประกอบวิชาชีพ วิศวกรรรมควบคุม

3.6 มีการระบายอากาศที่เหมาะสม โดยให้มีพื้นที่ ประตู หน้าต่าง และช่องลมรวมกัน โดยไม่นับ ที่ติดต่อระหว่างห้อง ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ส่วนของพื้นที่ของห้อง หรือมีการระบายอากาศไม่น้อยกว่า 0.5 ลูกบาศก์เมตรต่อนาทีต่อคนงานหนึ่งคน

3.7 มีประตู หรือ ทางออกให้พอกับจำนวนคนงานในโรงงานที่จะหลบหนีภัย ออกไปได้ทันท่วงทีเมื่อมีเหตุฉุกเฉิน ขึ้นอย่างน้อยสองแห่งอยู่ห่างกันพอสมควร บานประตูเปิดออกง่าย มีขนาดกว้าง ไม้น้อยกว่า 110 เซนติเมตร และสูงไม่น้อยกว่า 2 เซนติเมตร ต่อหนึ่งคน และมีบันไดระหว่างชั้นอย่างน้อย สองแห่งอยู่ห่างกันพอสมควร

3.8 บันไดต้องมั่นคงแข็งแรง ขั้นบันไดต้องไม่ลื่น และมีช่วงระยะเท่ากันโดยตลอดบันไดและพื้นทางเดินที่อยู่สูงจากระดับพื้นตั้งแต่ 1.50 เมตรขึ้นไป ต้องมีราวที่มั่นคงแข็งแรงและเหมาะสม

3.9 ระยะดิ่งระหว่างพื้นถึง เพดาน โดยเฉลี่ยต้องไม่น้อยกว่า 3 เมตร เว้นแต่มีระบบปรับอากาศ หรือ ระบายอากาศที่เหมาะสม แต่ระยะดิ่งกังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่า 2.30 เมตร

3.10 พื้นต้องมั่นคงแข็งแรง ไม่มีน้ำขัง หรือ ลื่นได้ง่าย ฯลฯ

3.11 บริเวณหรือ ห้องทำงานต้องมีพื้นที่ปฎิบัติงานไม่น้อยกว่า 3 ตารางเมตร ต่อ คนงานหนึ่งคน(โดยการคำนวณพื้นที่ให้นับรวมพื้นที่ที่ใช้วางโต๊ะปฎิบัติงาน เครื่องจักร ผลิตภัณฑ์ หรือ วัสดุที่เคลื่นไปตามกระบวนการผลิตด้วย)

3.12 วัตถุที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารโรงงาน ต้องเหมาะสมกับการประกอบกิจการอุตสหกรรม รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดการลุกลามของอัคคีภัย

3.13 จัดให้มีสายล่อฟ้า

3.14 จัดให้มีที่เก็บรักษาวัตถุ หรือ สิ่งของที่อาจก่อให้เกิดอันตราย หรือ อัคคีภัยได้ง่่ายไว้ในที่ปลอดภัย

3.15 กรณีมี ลิฟต์ ลิฟต์ต้องมีส่วนความปลอดภัย ไม่น้อยกว่า สี่เท่าของน้ำหนักที่กำนหดให้ใช้(ทั้งนี้โดยถือว่า คนที่บรรทุกมีน้ำหนัก 70 กิโลกรัมต่อคน) และต้องเป็นแบบที่จะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อประตูได้ปิดแล้ว รวมทั้งต้องมีระบบส่งสัญญาณ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินด้วย และสิฟท์ต้องมีป้ายระบุจำนวนคน หรือ น้ำหนักที่จะบรรทุกได้

3.16 จัดให้มีเครื่องดับเพลิง สัญญาณเตือนภัย กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ติดตั้งในโรงงาน

3.17 มีห้องส้วม ที่ปัสสวะ และสถานที่ทำความสะอาดร่างกายดังต่อไปนี้

       3.17.1 มีห้องส้วมอย่างน้อยในอัตราคนงาน ไม่เกิน 15 คนต่อ 1 ที่นั่ง, คนงานไม่เกิน 40 คนต่อ 2 ที่นั่ง, คนงานไม่เกิน 80 คนต่อ 3 ที่นั่ง(และเพิ่มขึ้นต่อจานี้ในอัตราส่วน 1 ที่นั่งต่่อจำนวนคนงานไม่เกิน 50 คน สำหรับโรงงานที่มีคนงานชาย และคนงานหญิงรวมกันมากกว่า 15 คน ให้จัดส้วมแยกไว้สำหรับคนงานหญิง ตามอัตตาส่วนที่กำหนดไว้ข้างต้นด้วย)

       3.17.2 อาคารโรงงานที่มีคนทำงานอยู่หลายชั้น ต้องจัดให้มีห้องส้วมและที่ปัสสวะในชั้นต่างๆ ด้วย

       3.17.3 ห้องส้วมต้องมีพื้นที่ไม่น้อยกว่า 0.9 ตารางเมตรต่อ 1 ที่นั่ง

       3.17.4 ห้องส้วมที่มีปัสสาวะต้องเป็นแบบใช้น้ำชำระลงบ่อซึม พื้นห้องต้องเป็นแบบไม่ดูดน้ำ

       3.17.5 จัดให้มีกระดาษชำระ หรือ น้ำสำหรับชำระให้เพียงพอสำหรับห้องส้วมทุกห้อง

       3.17.6 จัดให้มีสถานที่ทำความสะอาดร่างกาย พร้อมทั้งวัสดุ และอุปกรณ์ สำหรับคนงาน

       3.17.7 จัดให้มีการระบายถ่ายเทอากาศให้เพียงพอสำหรับห้องส้วม ห้องปัสสาวะ และสถานที่ทำความสะอาดร่างกายทุกห้อง

       3.17.8 จัดให้มีการทำความสะอาดห้องส้วม ที่ปัสสวะ และสถานที่ทำความสะอาดร่างกายให้อยู่ในสภาพที่ถูกสุขลักษณะเป็นประจำทุกวัน

       3.17.9 ในโรงงานที่มีการผลิตสิ่งที่ใช้บริโภค ต้องจัดให้มีที่ล้างมือ ยาฆ่าเชื้อหรือ สบู่อัได้สุขลักษณะ และตั้งอยู่ในที่เหมาะสม อย่างน้อยในอัตรา คนงานไม่เกิน 15 คน ต่อ 1 ที่, คนงานไม่เกิน 40 ตนต่อ 2 ที่, คนงานไม่เกิน 80 ตน ต่อ 3 ที่ และเพิ่มขึ้นต่อจากนี้ในอัตราส่วน 1 ที่ ต่อ จำนวนคนงานไม่เกิน 50 คน

       3.18 จัดให้มีเครื่องมือปฐมพยาบาล

       3.19 จัดให้มีน้ำดื่มที่ถูกสุขลักษณะ

เรื่อง เครื่องจักร เครื่องอุปกรณ์ หรือ สิ่งที่นำมาใช้ในโรงงาน

         3.20 มั่นคง, แข็งแรง, และเหมาะสม, มีความปลอดภัย, ไม่ก่อให้เกิดความสั่นสะเทือน, เสียงหรือ คลื่นวิทยุ (รบกวนผู้อยู่อาศัยใกล็เคียง), มีเครื่องป้องกันอันคราย (Safeguard) อันอาจเกิดจากส่วนที่เคลื่อนไหวของเครื่องจัก(ตามความจำเป็นและเหมาะสม) กรณีมีบ่อหรือ ถังเปิดที่ทำงานสนองกันกับเครื่องจักร ที่อาจเป็นอันครายในการปฎิบัติงานของคนงาน ต้องมีขอบ หรือ ราวกั้นแข็งแรง และปลอดภัยทางด้านที่คนเข้าถึงได้สูงไม่น้อยกว่า 100 เซนติเมตร จากระดับพื้นที่ติดกับบ่อ หรือ ถังนั้น

        3.21 เครื่องอัดก๊าซ ( Compressor ) ต้องได้รับการออกแบบคำนวณและสร้างตามมาตราฐานที่ยอมรับ หรือผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยในการใช้งาน (โดยมีคำรับรองของ วิศวกร ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม)

        3.22 หม้อไอน้ำ หม้อต้มที่ใช้ของเหลวเป็ฯสื่อนำความร้อน หรือ ภาชนะรับแรงดันรวมทั้ง ถังปฎิกริยา ต้องได้รับการออกแบบ คำนวณ และสร้างตามมาตรฐานที่ยอมรับ และผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยในการใช้งาน(โดยมีคำรับรองของ วิศวกร ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม)

       3.23 ภาชนะบรรจุวัตถุวัตถุอันคราย เช่น วัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด วัตถุเคมี หรือ ของเหลวอื่นใด ที่อาจทำให้เกิดอันคราย แก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์ หรือ สิ่งแวดล้อมที่มีขนาดของ ภาชนะบรรจุ, ตั้งแต่ 25,000 ลิตรขึ้นไป ต้องมั่นคงแข็งแรงเป็นไปตามมาตราฐานที่ยอมรับ (โดยมีคำรับรองของ วิศวกร ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม) และต้องสร้างเขื่อนหรือ กำแพงคอนกรีตโดยรอบให้มีขนาดที่สามารถกักเก็บปริมาณของฟ วัสดุดังกล่าวได้ทั้งหมด เว้นแต่กรณีที่มีภาชนะบรรจุมากว่าหนึ่งถึง ให้สร้างเขื่อนที่สามารถเก็บกับวัตุถุ หรือ เคมีภัณฑ์ที่มี คุณสมบัติ เหมาะสมในการระงับหรือลดความรุนแรงของการแพร่กระจาย ได้อย่างเหมาะสม และเพียงพอ

      3.24 เครื่องยก (Crane and Hoist) และส่วนที่รับน้ำหนักต่อเนื่องกันต้องมั่นคงแข็งแรง ต้องมีป้ายระบุน้ำหนักปลอดภัยสูงสุดที่จะยกของได้ให้เห็นชัดเจน กับต้องมีห้ามล้อ ซึ่งสามารถหยุดน้ำหนักได้ไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของน้ำหนักปลอดภัยสูงสุด และถ้าเป็นเครื่องยกที่ใช้ไฟฟ้าต้องมี อุปกรณ์สำหรับ หยุด ยก และตัดกระแสไฟฟ้า เมื่อยกน้ำหนักถึงตำแหน่งสูงสุดที่กำหนด

      3.25 เครื่องลำเลียงขนส่ง (Conveyor) ที่ติดตั้งผ่านเหนือ บริเวณซึ่งมีคนปฎิบัติงาน หรือ ทางเดินต้องมีเครื่องป้องกันของตก (แบบแผ่น หรือ ตะแกรงกันด้านข้าง) และรองรับของตกตลอดใต้สายลำเลียงนั้น (อย่างให้มีความปลอดภัย) สำหรับเครื่องลำเลียงขนส่งที่มีสายพานลำเลียงต่างไปจากแนวระดับ ต้องมีเครื่องบังคับที่ทำให้สายพานลำเลียงหยุดได้เองเมื่อเครื่องหยุดการใช้งาน

     3.26 การติดตั้งท่อและอุปกรณ์ สำหรับส่งวัตถุ ทางท่อ ต้องเป็นไปตามหลักวิชาการที่ยอมรับกัน

     3.27 ระบบไฟฟ้าโรงงาน (ไฟฟ้าแสงสว่าง & ไฟฟ้ากำลัง) ต้องเป็นไปตามหลักวิชาการที่ยอมรับกัน(โดยมีคำรับรองของ วิศวกร ผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม)

เรื่องคนงานประจำโรงงาน

 3.28 โรงงานที่มีการปล่อยของเสีย,มลพิษหรือสิ่งใดๆที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, ที่มีการใช้สารกัมมันตรังสี ต้องจัดให้มีผู้ควบคุมดูแลและผู้ปฏิบัติงานประจำ (โดยผู้ควบคุมดูและผู้ปฏิบัติงานประจำต้องมีองคความรู้และมีคุณสมบัติตามที่กฏหมายว่าด้วยโรงงานและกฏหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด)

 เรื่องการควบคุมการปล่อยของเสีย มลพิษ หรือสิ่งใดๆที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (ขยะโรงาน, น้ำเสีย, อากาศเสียและเสียงดัง จากขบวนการผลิตของโรงงาน) ให้ปฏิบัติดังต่อไปนี้

 3.29 การกำจัดขยะ สิ่งปฎิกูล และ วัสดุไม่ใช้แล้วให้เป็นไปตาประกาศที่ออกตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานกำหนด (ทั้ง ขยะอันตราย และ ขยะไม่อันตรายที่เกิดจากขบวนการผลิต)

3.30 ห้ามระบายน้ำเสียออกจากโรงงาน เว้นแต่ได้ทำการบำบัดน้ำเสียให้มีคุณสมบัติลักษณะเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน และ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง (แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่วิธีทำให้เจือจาง ( Dilution) กรณีมีระบบบำบัดน้ำเสีย โรงงานจะต้องติดตั้งมาตรวัดปริมาณ การใช้ไฟฟ้าสำหรับระบบบำบัดน้ำเสียโดยเฉพาะไว้ในที่ง่ายต่อการตรวจสอบ/ ต้องมีการจดบันทึกเลขหน่วย/ ปรมาณการใช้ไฟฟ้าประจำวันด้วย และในกรณีมีการใช้สารเคมี หรือ สารชีวภาพในระบบ บำบัดน้ำเสียต้องมีการบันทึก ข้อมูลการใช้สารเคมี หรือ สารชีวภาพดังกล่าวด้วย)

3.31 ห้ามระบายอากาศเสีย ออกจากโรงงาน เว้นแต่ได้ทำการบำบัดอากาศเสียให้มีคุณสมบัติลักษณะเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน และ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

3.32 ระดับความร้อนในบริเวณปฎิบัติงานของคนงาน ต้องไม่เกินกว่าค่ามาตราฐานดังต่อไปนี้

ความหนักเบาของงาน มาตราฐานระดับความร้อน ค่าเฉลี่ยอุณหภูมิ เวบลบ์โกลบ (WBGT)(องศา เซลเซียส)
งานเบา 34.0
งานปานกลาง 32.0
งานหนัก 30.0

หมายเหตุ นิยามงานเบา, ปานกลาง, และ งานหนัก เป็นไปตามข้อกำหนดในกฎหมายว่าด้วย โรงงานฯ

3.33 แสงสว่างในพื้นที่ต่างๆ ของโรงงาน ต้องเพียงพอแก่การทำงานตามมาตราฐานต่อไปนี้

บริเวณ ความเข้มของการส่องสว่าง (ลักซ์ : LUX) ต้องไม่น้อยกว่า
ลานถนนและทางเดินนอกอาคารโรงงาน 20
บริเวณทางเดินภายในกอาคารโรงงาน 50
บริเวณปฎิบัติงานที่ไม่ต้องการความละเอียด 100
บริเวณงานที่ต้องการความละเอียดน้อยมาก(ทำงานที่โต๊ะ หรือ ที่เครื่องจักร) 200
บริเวณปฎิบัติงานที่ต้องการความละเอียดน้อย เช่น งานทากาว ฯลฯ 300
บริเวณปฎิบัติงานที่ต้องการความละเอียดปานกลาง เช่น งานพ่นสี ฯลฯ 600
บริเวณปฎิบัติงานที่ต้องการความละเอียดสูง เช่น งานคัดแยกและเทียบสีหนัง ฯลฯ 1200
บริเวณปฎิบัติงานที่ต้องการความละเอียดสูงมาก เช่น งานตรวจสอบชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็ก ฯลฯ 1600
บริเวณปฎิบัติงานที่ต้องการความละเอียดสูงมากเป็นพิเศษ เช่น งานเจียรไนเพชร ฯลฯ 2400

 

 3.34 ความดังของเสียงในโรงงาน บริเวณปฎิบัติงานต้องเป็นไปตามค่ามาตรฐาน ดังตารางต่อไปนี้

เวลาการทำงานที่ได้รับเสียง 1 วัน (ชม.) ระดับเสียงเฉลี่ยตลอดเวลาการทำงานไม่เกิน(เดซิเบลเอ)
12 87
8 90
6 92
4 95
3 97
2 100
1.5 102
1 105
0.5 110
0,25 หรือ น้อยกว่า 115

ขั้นตอนที่ 4 จัดทำแผนภูมิขบวนการผลิต หรือ การให้บริการ( แล้วแต่ว่าจะเป็นโรงงานลำดับประเภทใด ตามกฎหมายว่าด้วยโรงงาน) อย่างละเอียดและเป็นลำดับขั้นตอน (แสดงตำแหน่ง หรือ จุดปล่อยน้ำเสีย, ปล่อยอากาศเสีย หรือขยะจากขบวนการผลิค และระบบขจัดของเสียต่างๆ เอาไว้ใน บล็อคไดอะแกรม ขบวนการผลิตด้วย) ดังตัวอย่างข้างล่างต่อไปนี้ เป็นต้น

วัตถุุดิบต่างๆ

พลังงานไฟฟ้า            I                                                                                                          

                                    I                                                                                                                  

                                                                         อากาศเสีย                                                                                                     ระบบบำบัดอาศเสีย(ฝุ่น, ไอสารเคมี, กลิ่น

พลังงานความร้อน        I

                                    I                                     น้ำเสีย                                                                                                            ระบบบำบัดน้ำเสีย

                                    I

                                    I                                     กาก/ขยะอุตสาหกรรม ที่เกิดจากขบวนการผลิต หรือ การให้บริการ                                            ระบบบำบัด กาก / ขยะ อุตสาหกรรม

                                    I

                                    I

ขบวนการผลิต/ให้บริการ
(อธิบายขั้นตอนผลิต ในขั้นตอนที่สำคัญๆ) เป็นบล็อกไดอาแกรม/ โดยแสดงจุด หรือ แหล่งที่เกิดของเสีย(ตัวอย่างเช่น น้ำเสีย, อากาศเสีย, กากอุตสาหกรรม, ฯลฯ) จากขบวนการผลิต(เพื่อจะได้นำข้อมูลไปวิเคราะห์ และ ออกแบบจัดการของเสียต่างๆ) ดังกล่าวที่เกิดขึ้นได้

 

ผลิตภัณฑ์ (Products) หรือส่งมอบสิ่งของ (ที่ให้บริการ) แล้วกับลูกค้า

 

ขั้นตอนที่ 5

คำนวณออกแบบจัดทำเขียนแบบแปลนรวมอาคาร และ บริเวณโรงงาน (Master Plan) ให้มีขนาดที่เหมาะสม และถูกต้องตามมาตราส่วน( ข้อมูลที่แสดงและบรรจุไว้ในแบบอย่างน้อยควรจะมี แผนที่สังเขปแสดงที่ตั้งโรงงาน (No Scale) ภาพแปลนของอาคารโรงงานแสดงทางเข้า ทางออก โรงงานทุกจุด

             - แสดงตำแหน่งที่ตั้งสัญญาณเตือนภัย ถังดับเพลิง

             - แสดงวงจรการอพยพหนีไฟ

             - แสดงที่ต้องตำแหน่งห้องน้ำ ห้องส้วม (แยกชาย /หญิง)

             - แสดงแนวท่อ หรือ รางและทิศทางการไหลของวงจรน้ำฝน

             - แสดงแนวท่อ หรือ ราง และ ทิศทางการไหลของ วงจรน้ำเสียเข้าสู่ระบบบำบัดน้ำเสีย และ บัญชี รายการจำนวรจุดติดตั้ง สัญญาณเตือนภัย จำนวนถังดับเพลิง จำนวนห้องน้ำ ห้องส้วม เป็นต้น

 ( แนะนำให้จัดทำแบบ Master Plan ลงในกระดาษขนาด A1)

 ขั้นตอนที่ 6

คำนวณหรือประเมินแรงม้าเครื่องจักรโรงงานทุกเครื่องที่ใช้ในขบวนการผลิต (โดยสูตรประเมินแรงม้าตามที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด หรือการนิคาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยถือปฎิบัติ) และจัดทำบัญชีเครื่องจักรโรงงาน(โดยใช้แบบฟอร์ม กรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือ แบบฟอร์มของการนิคมอุตสาหกรรมฯ)

ขั้นตอนที่ 7

คำนวณออกแบบจัดทำแบบแปลนแผนผังแสดงการติดตั้งเครื่องจักร (M/C Layout)  ให้มีขนาดเหมาะสมและถูกต้องตามมาตราส่วน พร้อมด้วยรายการบัญชีเครื่องจักร และให้เขียนโดยใช้มาตราส่วนเดียวกันกับแบบแปลนของอาคารโรงงาน (แนะนำให้จัดทำแบบ M/c Layout ลงในกระดาษ A1

ขั้นตอนที่ 8

จัดทำแบบแสดงภาพด้านหน้า - ด้านข้าง (Front and Side View)ของอาคารโรงงาน ให้ถูกต้องตามมาตรส่วน สำหรับที่จะให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบขนาดความสูงของพื้นที่ปฎิบัติงานของอาคารโรงงานได้

ขั้นตอนที่ 9

ตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารสำคัญต่างๆ ดังต่อไปนี้ อาทิ่เช่น เอกสารแผนภูมิขบวนการผลิต (Manufacturing Process), เอกสารคำนวณการประเมินแรงม้าเครื่องจักร (Machine Appraisal), เอกสารบัญชีรายการเครื่องจัก (M/C List) , เอกสารแบบแสดงอาคารและบริเวณโรงงาน (Master plan), เอกสารแบบแสดงการติดตั้งเครื่องจักร (M/C Layout), เอกสารแสดงภาพด้านหน้า - ด้านข้าง (Front and Side View) ของอาคารโรงานเป็นต้น เมื่อเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนแล้ว ให้ สามัญวิศวกร หรือ วุฒิวิศวกร สาขาวิศวกรรมอุตสาหการผู้ออกแบบ ลงชื่อรับรองในเอกสารที่สำคัญ ๆ ดังกล่าวข้างต้น (ในขั้นตอนนี้แนะนำให้จัดทำเอกสารแต่ละอย่างดังกล่าวข้างต้น อย่างน้อยเป็นจำนวน 5 ชุด เพื่อใช้สำหรับยื่นต่อกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด หรือ สำนักงานนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 3 ชุด, ให้ทางโรงงานเก็บไว้จำนวน 1 ชุด และให้เจ้าของโครงการจัดส่งคืนให้กับวิศวกรผู้ปฎิบัติงานออกแบบแผนผังโรงงานจำนวน 1 ชุด)

ขั้นตอนที่ 10

จัดทำหนังสือรับรองที่แสดงว่าสามัญวิศวกร หรือ วุฒิวิศวกรได้เป็นผู้ปฎิบัติงานออกแบบแผนผังโรงงานให้กับโรงงานชื่ออะไร ตั้งอยู่ที่ไหน มีเงื่อนไขอะไรในการออกแบบแผนผังโรงงาน และในตอนท้ายของหนังสือรับรอง วิศวกรผู้ออกแบบและเจ้าของโรงงานหรือเจ้าของโครงการจะต้องเซ็นชื่อกำกับไว้ในหนังสือรับรองดังกล่าวนี้ด้วย (สามารถดูแบบฟอร์มหนังสือรับรองตัวอย่างได้จากของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือจะสร้างแบบฟอร์มของหนังสือรับรองขั้นมาเองก็ได้ กรณีปฎิบัติงานออกแบบแผนผังโรงงานที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมดูแลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือ ของสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด) และวิศวกรผู้ออกแบบ จะต้องแนบสำเนาบัตรสมาชิกสภาวิศวกรและสำเนาใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมระกับสามัญ หรือ วุฒิวิศวกรสาขา วิศวกรรมอุตสาหการ แนบเข้ากับหนังสือรับรองที่จัดทำขึ้นมานี้ด้วย

 

 ค่าบริการ วิชาชีพวิศวกรรมโยธา งานออกแบบ โรงงาน ขนาดใหญ่ ควรจะรายละเอียดดังนี้
1. **ขอบเขตงาน**
    -  ประสานงานกับผู้ออกแบบสถาปัตยกรรมเพื่อกำหนดกรอบนอกของตัวอาคาร ทำรายการคำนวณและแบบวิศวกรรมโครงสร้างและ ระบบสาธารณูปโภค รางระบายน้ำรอบโครงการเฟสแรก(ดูรูปประกอบ) ฐานรากและเสารับรางรับ
Conveyor ระหว่างอาคาร และบ่อรับน้ำในโครงการเฟสแรก(ดูรูปประกอบ)
    - กำหนดชนิดและขนาดของฐานรากและประเภทของวัสดุที่ใช้สร้างโรงงาน โกดัง รวมถึงประสานงานกับวิศวกรเครื่องกลในการวางเครื่องจักร ตาม กระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้อง

(ไม่รวมค่าเจาะสำรวจดินตามตำแหน่งต่างๆ ที่จำเป็นในการออกแบบ ทางเจ้าของ ต้องจ้างชุดสำรวจมาเจาะดินต่างหากเองทั้งหมด ตามความจำเป็น)

สำหรับการก่อสร้าง ยกตัวอย่างโรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง จะต้องมีอาคารหลักๆ ดังนี้


1.1. **อาคารรับวัตถุดิบ**


1.2. **อาคารผลิตแป้ง**


1.3. **อาคารคลังสินค้า**


1.4. **อาคารสำนักงาน**
   - สำหรับเป็นที่ทำงานของพนักงานบริหารและสำนักงาน


1.5. **อาคารโรงซ่อมบำรุง**
   - สำหรับซ่อมบำรุงเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ในโรงงาน

2. **ข้อกำหนดทางด้านกฎหมายและข้อบังคับ**
    - ออกแบบให้สอดคล้องกับกฎหมายควบคุมอาคาร ข้อบังคับว่าด้วยความปลอดภัย และข้อกำหนดสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง
  
3. **ข้อกำหนดด้านประสิทธิภาพการทำงาน**
    - ออกแบบเพื่อรองรับกระบวนการผลิตและการจัดวางอุปกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพ
   
4. **ข้อกำหนดด้านงบประมาณและระยะเวลา**
    
5. **การประสานงานและการบริหารโครงการ**
    - กำหนดช่องทางการสื่อสารทางไลน์ อีเมลย์ ประชุมออนไลน์ และประสานงานแบบพบหน้า ที่มีความจำเป็นเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ(หากจำเป็น)
    - งานส่วนนี้ยังไม่รวมงาน ควบคุมคุณภาพ ระหว่างการก่อสร้าง
6. **ข้อกำหนดด้านการซ่อมบำรุงและบริการหลังการขาย**

สำหรับงานออกแบบโรงงานขนาดใหญ่ ส่วนที่เป็นงานโครงสร้างและงานถนนและทางระบายน้ำภายในโรงงาน มีข้อกำหนดที่สำคัญดังนี้


1. **งานโครงสร้าง**
   - ออกแบบโครงสร้างอาคารโรงงานให้มีความแข็งแรง คงทน สามารถรองรับน้ำหนักจากเครื่องจักรและอุปกรณ์ได้อย่างปลอดภัย
   - เลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณภาพสูง ตามข้อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย
   - คำนึงถึงการป้องกันอัคคีภัยและการระบายอากาศที่เหมาะสม
   - การออกแบบโครงสร้างอาคารโรงงานขนาดใหญ่ที่มีการติดตั้งเครื่องจักรขนาดใหญ่ซึ่งก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนมากระหว่างการทำงาน ข้อกำหนดที่สำคัญมีดังนี้

1.1. **การวิเคราะห์แรงสั่นสะเทือน**
   - ประเมินระดับและความถี่ของแรงสั่นสะเทือนจากเครื่องจักรแต่ละชนิด
   - วิเคราะห์การถ่ายทอดแรงสั่นสะเทือนสู่โครงสร้างอาคารและพื้น
   - คำนวณค่าแรงสั่นสะเทือนสูงสุดที่โครงสร้างต้องรับได้

1.2. **การออกแบบฐานรากเครื่องจักร**
   - ออกแบบฐานรากเครื่องจักรให้มีขนาดและความหนาเพียงพอต่อการรองรับน้ำหนักและแรงสั่นสะเทือน
   - ใช้วัสดุก่อสร้างที่มีคุณสมบัติดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี เช่น คอนกรีตผสมยางหรือวัสดุกันสั่น
   - ติดตั้งระบบกันสั่นสะเทือน (
Vibration Isolation) ที่ฐานรากเครื่องจักร

1.3. **การออกแบบโครงสร้างอาคาร**
   - เสริมความแข็งแรงของโครงสร้างพื้น คาน และเสาคอนกรีตเสริมเหล็ก ให้สามารถทนแรงกระแทกและสั่นสะเทือนได้ดี
   - ใช้วิธีการออกแบบที่คำนึงถึงการสั่นสะเทือนแบบไดนามิกส์ (
Dynamic Analysis)
   - ออกแบบระบบการยึดโครงสร้างและการเชื่อมต่อส่วนประกอบต่างๆ ให้แข็งแรง

1.4. **การแยกโซนเครื่องจักรที่ก่อแรงสั่นสะเทือน**
   - จัดแบ่งพื้นที่สำหรับเครื่องจักรที่ก่อแรงสั่นสะเทือนรุนแรงออกจากโซนอื่นๆ
   - ออกแบบระบบกันสั่นระหว่างโซนเครื่องจักรกับส่วนอื่นของอาคาร เช่น การใช้
Seismic Joint

2. **งานถนนภายในโรงงาน**
   - ออกแบบถนนและทางวิ่งภายในโรงงานให้เพียงพอต่อการจราจรของยานพาหนะขนส่งวัสดุและสินค้า
   - กำหนดความกว้าง ทางโค้ง และระยะการมองเห็นที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยในการสัญจร
   - เลือกใช้วัสดุผิวจราจรที่ทนทานและมีการระบายน้ำที่ดี
   - ออกแบบให้มีช่องทางเดินรถฉุกเฉินและจุดกลับรถอย่างเพียงพอ


3. **งานทางระบายน้ำ**
   - ออกแบบระบบระบายน้ำฝนและน้ำทิ้งจากกระบวนการผลิต ให้สามารถรองรับปริมาณน้ำได้อย่างเพียงพอ
   - กำหนดทิศทางการไหลของน้ำและออกแบบรางระบายน้ำและบ่อพักให้เหมาะสม
   - งานติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยออกสู่ภายนอก ให้ได้ตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อม



 

วิศวกรอุตสาหการ



ชื่อ
เบอร์โทรศัพท์
อีเมล
หัวข้อ
รายละเอียด